วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประสบการณ์ ศรัทธาและการกระทำ

อ่านเรื่องคู่มือสร้างชุมชนของคนไร้รากของเพื่อน(ศรชัย)ที่เขียนถึงประสบการณ์ที่เขาประทับใจ และอาจใคร่ครวญประสบการณ์ความคิด และมุมมองของตนบางอย่าง
ก็ให้คิดถึงเรื่องราวของมนุษย์ ทุกคนทำอะไรตามความเชื่อ ความศรัทธา ที่มีประสบการณ์สะสมมาในวัยเด็ก หรืออาจเป็นประสบการณ์ที่สะสมมาช้านาน อาจเป็นเรื่องราวที่หล่อหลอมให้เรากลายเป็นผู้ใหญ่ /เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตเพื่อทำอะไรสักอย่างต่อไปเรื่อยๆ ราวกับบางทีเหมือนมีแผนที่ที่กำหนดให้เราต้องทำไว้แล้ว...

เราอาจเป็นคนที่เติบโตในวัฒนธรรมใกล้เคียงกันหรือเปล่าหนอ(คิดเอาเอง)
ลูกคนจีน ปากน้ำโพ โตมาทำบุญเฉพาะวันสำคัญ อย่างปีใหม่
สมัยเรียนหนังสือก็ถูกบังคับให้ไปงานวัดบ้าง เวียนเทียน สวดมนต์ ตามประสานักเรียนถูกโรงเรียนบังคับให้ไป
โชคดีหน่อย เป็นเพราะบ้านอยู่ข้างวัดโพธิ์ และอาจเพราะฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตามประสาเป็นเด็กชอบเรียน เลยได้ไปเรียนโรงเรียนพุทธศาสนา ทุกวันอาทิตย์ เพราะได้เรียนภาษาอังกฤษ แถมอีกศาสนาเพราะอยากเรียนกีต้าร์ และร้องเพลงเลยได้เข้ากลุ่มศาสนาคริสต์ ไปเฮฮาดีดกีตาร์ ร้องเพลงตามประสาเด็ก และแอบนึกไปถึงสมัยเด็กไปเรียนตีขิมฟรีที่เทศบาล เทศบาลให้ครูมาสอน เหล่านี่ต่างก็เป็นประสบการณ์ที่อยากทำงานให้ชุมชน ให้สังคมกลับมา มีศิลปะ วัฒนธรรม ในพื้นที่ให้เด็กที่ไม่มีโอกาส ไม่มีเงินมีทอง พอมีที่เรียนดนตรี เรียนศิลปะ ติดตัวได้
โชคดีอีกนิด สมัยเป็นเด็กจนถึง มัธยมปลาย ยังมีโอกาสได้เรียนวิชาพุทธศาสนา พอให้ได้ท่องจำเข้าไปในหัว
จวบจนโตมา คงเป็นโชคอีกหรือเปล่า(ดี/ร้ายไม่รู้) ให้ได้ทำงานพยาบาล ที่ต้องเรียน และทำงานเกี่ยวกับชีวิต อาจจะเข้าใจชีวิตได้เร็วโดยไม่ต้องมีประสบการณ์เอง ไม่ต้องตายเอง เลยรู้ว่าไปฝึกมีสติก่อนตายมันยากกกก! เอาการอยู่เพราะเดี๋ยวก็ต้องตายเหมือนกัน
แต่ก็ยังไม่ได้ถึงแก่นของพุทธศาสนา หรือไม่ก็มีการพัฒนามาอยู่บ้าง อยู่ในตัวนั่นแหละ แต่ยังไม่เห็นไม่ได้แยกแยะ
จนวันหนึ่ง โชคดลบันดาลให้รู้ว่า พุทธศาสนา เรียนด้วยการอ่าน การท่องจำไม่ได้ ต้องทำเท่านั้น ทำเอง เออเอง รู้แจ้งเอง อาจไม่ทันการณ์ จึงต้องนำพาตัวเอง หาครูบาอาจารย์ หาที่ที่เรียนรู้ เข้าวัดทั้งที ได้ไปไกลถึงอีสาน จ.ขอนแก่น
ก้มลงกราบพระครั้งแรก ยังเก้ๆ กังๆ
บอกพี่ บอกน้อง บอกแม่ ก็ไม่ได้ ว่าเข้าวัด เขาอาจเข้าใจผิดคิดว่า น้องสาว พี่สาว ลูกสาว อกหัก ช้ำรัก กระมังถึงต้องเข้าวัด
หลายคนถามไปวัดทำไม ปฏิบัติแบบไหน??
หลวงพ่อกล้วยว่า มาวัด ให้เหมือนกลับมาบ้าน อยู่กันเหมือนพี่น้อง ทำใจให้สบาย พักผ่อน ทำงาน สร้างสติจากการทำงาน
และทำอย่างนี้เรื่อยมา เป็นปีๆ ปฏิบัติหรือเปล่าหว่าแบบนี้ ไม่ได้เข้า 3 วัน 5 วัน 7 วัน ไม่ได้นุ่งขาวห่มขาว
ปีใหม่ปีก่อน 52 พาเพื่อน ที่โตมาด้วยกันคนหนึ่ง ลูกสาวคนจีนทำมาหากิน เครียดจากการทำงาน
บอกเขาว่า ปีใหม่ไปเที่ยวไปพักผ่อน ด้วยการไปวัด
พาเขาเข้าครัว ช่วยยายชี บิข้าวเหนียว ที่คนเอามาทำบุญ หลายกระติ๊บ เต็มพื้นที่ ตากแดด ตากลม เตรียมทำขนม
หั่นมะเขือเทศ เตรียมทำแกงเขียวหวาน กาละมังใหญ่โต สำหรับคนเป็นสิบๆ หรือเป็นร้อยกระมัง
ทำจนเสร็จ..
เพื่อน บอกว่า แกทำไปได้อย่างไร ถ้าฉันไม่เห็นแกทำ ฉันไม่ทำแน่ๆ
ฉันอยู่บ้าน ฉันต้องสั่งให้ลูกจ้างทำแน่ๆ
เออ ...นี่แหละ ทำเอง ต้องทำเอง ทำไป ดูใจไป เมือไหร่จะเสร็จ กี่ลูก กี่เรื่องที่เข้ามา หั่นจนนิ้วที่กดมันช้ำ รู้สึกหรือเปล่า
แยกออกไหม สติ ความคิด และจิตที่มันเบื่อ เมื่อไหร่จะเสร็จ เห็นไหม
ทำให้ใครกินก็ไม่รู้ อาจจะไม่ได้กินเองด้วยซ้ำ เขาสอนให้รู้จักให้โดยไม่ต้องสอน

มาปีใหม่ปีนี้ พาเพื่อนผู้หญิงโตมาด้วยกัน 2 คน ไปพักผ่อนด้วยการเข้าวัดอีกแล้ว คราวนี้ขึ้นไปทางเหนือ
(เฮอๆ ช่วยไม่ได้ดันมาเป็นเพื่อนตู ผู้ถือคติ เข้าวัดเป็นการพักผ่อน)
เช้าปีใหม่ปีนี้ ทำบุญด้วยการทอดปลาทับทิมตัวใหญ่
เกิดมาในชีวิต ได้ทำปลาก็ครั้งนี้แหละ มันยากไม่ใช่เล่น ถอดเกล็ดปลา หั่นปลาเป็นชิ้นๆ ครัวก็ไม่ใช่ครัวเรา มีดก็ไม่คม กระทะ เตา ก็ไม่คุ้นเคยเครื่องใช้ไม่รู้อยู่ตรงไหนบ้าง
ทำปลา 3 ตัวใหญ่ ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า นึกว่าเพื่อนจะมาช่วย
เพื่อนตื่นตามลงมาเกือบ 7 โมง เห็นปลาเป็นชิ้นๆ ที่หั่นจนเละเพราะมีดไม่คม
แถมพูดให้ใจเสีย แกจะทอดหมดเลยหรอ
นึกในใจจะเหลือไว้ทำไม แต่ปากตอบออกไป อืมม์ พร้อมๆ กับใจที่แป้วอยู่เหมือนกันเมื่อไรจะเสร็จวะเนี่ยะเรา เพื่อนรักถามเฉยๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย หรือเอาใจช่วยก็ไม่รู้
แต่ก็เสร็จจนได้ ได้ปลาทอดร้อนๆ ทำบุญพระ...และกราบลาท่าน ก่อนเดินทางขึ้นไปเชียงใหม่ต่อ
ปลาทอดครั้งแรกในชีวิต ก็ไม่ได้ชิมอยู่ดี แต่รู้อยู่ในใจว่า อร่อยแน่ๆ เพราะทอดด้วยใจ

.....
มีอยู่ในสังคมไทย อยู่แล้ว บ้านเราสังคมเรา ที่ที่เราอยู่ก็มีวัฒนธรรมที่ดีอยู่
หากจะสร้าง สร้างอารมณ์ แบบนี้ให้อยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน ให้เกิดที่ที่เราอยู่
เรามีแก่น มีแกนเป็นเป้าหมายที่แต่ละคน ต่างจิตต่างใจจะเข้าถึง (บังคับกันไม่ได้)
แต่ละคนมี ชีวิตที่ต่างคนต่างต้องดูแล

เครื่องมือที่จะสื่อให้เข้าถึงแก่น เป็นอะไรก็ได้ ละครก็ดี ไท้ฉีฉวนก็ได้ วาดรูปก็ใช่ ทำงานฝีมือยิ่งฐานกาย
และอาจรวมถึงทุกวิชาชีพ ที่ใช้หาเงินเลี้ยงกาย
กายอยู่รอด อยู่เย็นเป็นสุข ใจก็ย่อมอยู่รอด อยู่เย็นเป็นสุข ให้มันได้เกื้อหนุนกันตามบริบท
จนถึงวัยนี้ เราอาจต้องให้เครื่องมือ ให้อยู่ได้ทั้งกายและใจ
และสร้างให้เกิดการทำงานคือการปฏิบัติที่เข้าถึงธรรม(ชาติ)...จริงๆ กระมัง

นก-มยุรี

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

ของคู่กัน นักประโลมโลก กับ คนขวางโลก แล้วฉันจะอยู่อย่างไร

ลองเขียน สไตล์ VoD ด้วยตัวตนเปราะบาง

ฉันหลงรัก นักประโลมโลก(PS.คนอื่น) ไม่แปลกเลย เพราะฉันก็ถนัดประโลมโลก(ที่บ้านเรียกคิดแง่บวก หรือมองโลกแง่บวก ดูดีดูดี)
แล้วฉันก็เจอ คนขวางโลก (ps.คนอื่นอีกคน)ที่มาคู่กันกับนักประโลมโลก ที่เขาชื่นชมกัน
และเมื่อฉันถูกรังสีของคนขวางโลก ฉันจึงรู้สึกเป็นเหยื่ออย่างช่วยไม่ได้

หลายครั้ง หลายครา ที่เปราะบาง เจ็บปวด ฉันก็ใช้ตัวปลอบประโลม ว่าไม่เป็นไร อย่าหลบ อย่าหลีก อย่าหนี และอย่าประมาท เพราะมันเป็นทางให้ค้นหาเข้าไปที่ตัวตน

แต่วันหนึ่งฉันก็รู้สึกยอมแพ้
ฉันถามตัวเองว่า ตัวไหนที่ยอมแพ้
ตัวตนที่เปราะบาง มันต้องการความรัก ความเห็นใจ กระมัง เมื่อไม่ได้ ก็หมดหวัง สิ้นหวัง เบื่อหน่ายและยอมแพ้
เพราะมันไม่ได้ตามความต้องการ...กระมัง
หรือเป็นตัวปลอบประโลม ให้เราตัดใจให้เร็วเพื่อป้องกันการเสียใจมากไปกว่านี้....

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กินเหยื่อ หรือเป็นเหยื่อ

การเจริญสติ ทำให้เราเห็นรายละเอียด การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
เห็นทั้งโลกภายใน และโลกภายนอก
การเห็น แม้เป็นครั้งละหนึ่งอารมณ์
แต่ก็เห็นความสัมพันธ์ และการเชื่อมโยง หรือรอยต่อของแต่ละอารมณ์
นั่นคือ จุดดับของอารมณ์หนึ่ง เพื่อไปเกิดในอีกอารมณ์หนึ่ง
การเชื่อมโยงเป็นเรื่องของโลกภายในของเรา
สิ่งที่เห็นอาจเป็น จิต สติ กาย หรือ ความคิดของเราที่เกิดและดับ

เราปฏิเสธไม่ได้ โลกภายนอกก็มีส่วนเกี่ยวพันกับการเกิดการดับโลกภายในของเรา
เราจึงต้องสังเกตุ สังเกตุ และสังเกตุ แยกแยะให้ชัด ให้ละเอียด
ว่าอะไรเกิดขึ้น อะไรเปลี่ยนแปลง ในโลกภายในของเรา
อะไรคือเหตุ กระทบเรา ข้างนอก หรือข้างใน
หากเราเห็นแล้ว เราเข้าใจแล้ว
เราจึงมีโอกาส ได้อบรมสั่งสอนตัวเองเป็นสำคัญ
แก้ไขได้ทั้งข้างนอก และข้างใน มันก็เชื่อมกันอยู่นั่นเอง

ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อกล้วยเคยบอกฉันว่า
ให้พิจารณาก่อนพูดว่า คำพูดกระทบผู้อื่นหรือไม่
ฉันจึงระมัดระวังคำพูด ในการพูดหรือกล่าวถึงผู้อื่น
แต่ก่อน ง่ายมากไม่พูดเลย ดูแต่ตัวเอง อาจเป็นการดีอยู่แล้ว
แต่ฉันพบว่า บางเรื่องที่เป็นประโยชน์ เป็นปัญญาในการพัฒนาทั้งตัวเอง และเพื่อน ฉันก็ไม่พูด
บางเรื่องบางราว ที่จะเสียหาย ฉันก็ไม่พูด รอจนเกิดเรื่อง แล้วพูดว่านั่นไง ว่าแล้ว คิดไว้แล้ว..

มีพี่คนหนึ่งบอกฉันว่า เอาภาวนามาเผชิญ อย่าหลบ
ฉันกลับมาดู จริงอยู่ บางเรื่องราวที่ไม่กล่าวไม่พูด เป็นเพราะฉันไม่กล้า
ฉันกลัว การกลับเข้ามากระทบตัวตนของฉัน
ฉันพูดอะไร ก็เป็นมิตร
บางเรื่องฉันเห็นว่าอาจกระทบความสัมพันธ์ ฉันก็ไม่พูด
........
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันคิดว่า ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องฉันเป็นคนกลางทำให้ประสานไมตรี
ฉันก็จะพูดแยกแยะ เชื่อมโยงให้คนอื่นได้เห็น ฉันก็มักเต็มใจจะพูด แบบกล้าๆ ว่าไม่ผิด

การสนทนาจึงเกิด ฉันพูด ผู้ขอ(ภาษาดูดี เรียกโยนตัวกวนให้พูด) และอาจมีคนฟังอื่นๆ อีก
ในแต่ละการสนทนาย่อมมีเรื่องราว มีคนเกี่ยวข้องซึงอาจไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย เป็นบุคคลที่ 3,4, 5
หากฉันพบว่ามีผลสะท้อนกลับมาหาฉัน  ดีหรือไม่ดีก็ช่าง โดยผู้ขอไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย
เพราะผู้ขอก็มักจะพอใจสิ่งที่เราพูด เพราะต้องการให้เราพูด ถึงเอาไปพูดต่อก็มาจากขี้ปากเรา
ฉันถือว่าฉันเป็นเหยื่อ
เพราะเหมือนถูกเสี้ยมเขา เป็นควายให้ขวิดคนอื่น

การกล่าวออกจากปากใคร คนนั้นก็รับกรรม รับการกระทำไป
เพราะการพูด การเชื่อมโยง ต้องมีบุคคลอื่นๆ อยู่เสมอ
มีคนพูด คนฟัง คนถูกกล่าวถึงและบริบทสิ่งแวดล้อมมากมายในสถานการณ์หนึ่งๆ
นั่นคือ เบื้องต้น
ท่ามกลาง คือ เรื่องราวและผลที่เกิดขึ้น
และเบื้องปลาย คือ สุดท้ายเราเห็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์ขี้เหม็น
เกิดกับเขาก็เกิดกับเราเหมือนกัน เพราะสุดท้ายมันจะไม่มีอะไร มันเอาอะไรกับเรื่องราวนั้นๆ ไม่ได้ ปลายทางตรงนั้นจะต้องไม่มีอะไร
สถานการณ์ แค่เสี้ยวส่วน ที่เกิด ไม่มีถูกไม่มีผิด เพราะในถูกมีผิด ในผิดมีถูก ในดีมีชั่ว ในชั่วมีดี นั่นคือการเชื่อมโยงที่เกิดให้เห็นได้ด้วยตาใน ด้วยใจ ไม่ใช่โวหาร

เดี๋ยวนี้ฉันกล้าขึ้น ฉันเลือกที่จะพูดในสิ่งที่ฉันคิดว่า ควรพูด
แต่ก็บาดเจ็บหลายครั้งจากความกล้า เพราะอาจผิดจากวิสัยเดิมที่เลือกจะไม่พูด

และฉันได้เรียนรู้ว่า ต่อจากนี้

ฉันจะเลือกพูดเฉพาะบุคคลที่ยินยอม และแลกกันด้วยการเห็นอัตตาของกันและกัน 
เพราะเบื้องปลาย เราต้องการเรียนรู้และเข้าใจอัตตาของตนเอง เพื่อละวาง ไม่ใช่ไว้ถือครอง
หากใครไม่พอใจ กรุณาบอกด้วยความกรุณา
หากใครไม่แลก ขออนุญาตไม่พูดถึงบุคคลอื่น เพียงเพื่อประโยชน์ของตน

เราจะต้องกินเหยื่อด้วยกัน
เพราะการเชื่อมโยง เบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย อย่างไร ก็เห็นไม่เท่า ไม่เหมือนกัน แน่นอน

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เชื่อมโยง โลก..ขัดแย้งก่อนสมดุล

จิตเกิด
...เห็นกิเลสคน วิ่งวุ่น กับเรื่องเก่าๆ แต่สถานการณ์ใหม่ๆ
จิตเกิด
...เห็นกิเลสคน ที่ยังตื่นเต้นกับปัญญาโลกๆ

พอเห็นคนอื่น...แล้วจิตเกิด
จึงเห็นตนเอง...พบอัตตาของตัวกูว่า
มันไม่แค่เห็น
จิตมันเกิด...เพราะตัวกูมันอยากจะสั่งจะสอน

แล้วพบว่า...ตัวกูไม่สามารถเชื่อมโยงโลกภายในตัวเอง ร่วมกับคนอื่นได้
ศิลปะในการ เชื่อมโยงให้มันละเมียดละไมมีไม่พอ

เห็นทาง...ทำอย่างไร
ทางของใครของมัน โลกของใครของมัน
เชื่อมโยงให้เห็นกันและกันเป็นหนึ่ง
เขาได้แค่ไหนก็แค่นั้น
เราได้แค่ไหนก็แค่นั้น
ปัญญาจะเกิดทั้งเขาและเรา ไม่ขัดแย้ง

ยังทำไม่ได้...ตัวกูแรงกว่า
จึงได้แต่เห็นกิเลสของเขา และเห็นอัตตาตัวเอง เป็นส่วนๆ

ครูบาอาจารย์ว่า... อย่าเปรียบเทียบกับกิเลสคนอื่น
มหาเมตตานะ หากทำให้เขาพบว่าทำไมเขายังแยกส่วน

อ้อ ...นี่เป็นการฝึกตน
เริ่มต้นกับการดับความอยากสั่งอยากสอน
เข้าใจ แล้ว..
ละวางอัตตาตัวเอง
เชื่อมโยงต่อโลกกับเขา ทั้งเขาและเราต่างต้องเข้าใจโลกสมมติ เพียงเข้าใจเปลือก
แล้วเข้าใจกระพี้ แล้วเราจะเลาะเปลือก เลาะกระพี้ เป็นชั้นๆ
จึงมีโอกาสเชื่อมโยงให้ถึงแก่น ทั้งเขาและเรา

เป็น ขันธ์ที่ 10 ของนักปฏิบัติอย่างนี้นี่เอง...
ครูบาอาจารย์ว่า..
จะเอาแต่ปัญญาชั้นสูง แต่ไม่เข้าใจฐานของจิต
คำถามว่าทำไมคนต้องอย่างนั้นอย่างนี้เพราะไม่เข้าใจฐานของจิต

และ...อันนี้นี่เองเหตุแห่ง...อัตตาของกู

ก็คงต้องทำ ทำ และทำให้เข้าไปในใจให้จิตยอมรับ
..ละได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น คงเข้าใจ

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

โฮลอน..รักษาหัวใจกับสมอง..รักษาทีม

เมื่อคืนวันถอดประสบการณ์การเดินทางไปเหนือของ BCL กับ อจ.นิกร

มีการเรียนรู้และพูดถึง หัวใจ กับ สมอง หากรักษา 2 สิ่งนี้ก็จะทำให้มีชีวิตรอดได้
หากสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตาย ก็เท่ากับไม่มีชีวิต ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้

จริงๆ เป็นการพูดเหมือนเปรียบเปรย

แต่เรากำลังพูดถึงความจริง พูดถึงสิ่งมีชีวิต พูดถึงทีม ถึงองค์กร ที่การบริหารจัดการแบบกระบวนทัศน์ใหม่ วิทยาศาสตร์ใหม่ เขากำลังพูด และพยายามทำให้เกิด สิ่งที่เรียกว่า องค์กรมีชีวิต

หากแต่เขาเปรียบกันไปเป็นเซลล์ เลย เปรียบเสมือนร่างกายเรา ทุกๆเซลล์ที่ก่อประกอบเป็น อวัยวะ อวัยวะหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น สมอง หัวใจ ตับ ไต ฯลฯ ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิต และใช้วิธีการสื่อสาร เชื่อมโยงกันเป็นการประกอบกันเป็นร่างกาย ทุกอย่างมีการเชื่อมโยงกัน หากสิ่งแวดล้อมเกิดกระทบกับเซลล์ๆ หนึ่งในร่างกาย หากการสื่อสารผิดปกติ ก็จะกระทบกันเป็นระลอกคลื่นถึงกัน เป็นเรื่องเดียวที่เขาพูดถึงการทำงานเป็นทีม หากเราเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์รวม หากเราเข้าใจเป้าหมายไปคนละทิศคนละทางกับทีม หากทำเองก็ผิดทาง หากยิ่งไม่สื่อสารไม่เชื่อมโยงกับคนอื่นเลย ยิ่งไปกันใหญ่ งานใหญ่ๆ คนทำกันเยอะๆ จึงไม่ค่อยมีประสิทธิผลเท่าที่ควร นี่คือหัวใจของเรื่องการทำงานเป็นทีม โดยเฉพาะงานสาธารณะ งานที่ทำเพื่อประโยชน์ต่อคนอื่น ชุมชน สังคม และตัวเองก็ได้ประโยชน์นั้นด้วย เราจะเรียนรู้ในการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายอย่างไร

มีคำๆ หนึ่งที่มาทำงานเรื่องวัฒนธรรมองค์กร แล้วพบว่ามันเป็นหัวใจในการอยู่ร่วม คือคำว่า Holon และพบว่าคำๆ นี้มีความหมาย มีความสำคัญ เริ่มต้นเล็กๆ แก้ไขจุดเล็กๆ จะมีผลต่อทั้งหมดเอง เพราะมันมีความเชื่อมโยงกันอยู่

เลยเป็นคำ และทฤษฎี ที่พอเป็นแผนที่และถือเป็นคติในการใช้ชีวิต ครั้งหนึ่ง เคยคุยกับ อจ.วิศิษฐ์ เรื่องนี้ ขอแบ่งปันค่ะ

"Holon
หรือจุลจักรวาล


คำ ๆ นี้เป็นคำที่เคน วิลเบอใช้ อธิบายความเป็นไปในจักรวาลว่า เป็นเสี้ยวส่วนและลดหลั่่นกันขึ้นไป หรือลงมาเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้น ก็จะเป็นทั้งส่วนหนึ่งของชั้นต่อไป และในขณะเดียวกันก็เป็นทั้งหมด ในชั้นของตัวเอง


ประการต่อมา ส่วน/ทั้งหมด หรือ Holon นี้ มีความเชื่อมโยงกับระดับอื่น ๆ ชั้นอื่น ๆ ทั้งหมดอยู่อย่างสลับซับซ้อน แบบอิทัปปัจยตา หรือ ต่างดำรงอยู่ในกันและกัน ซึ่งการทำงานกับ Holon นี้ อาจส่งผลกระทบถึงระบบทั้งระบบ อันนี้ เหมือนเป็นกุญแจลับ ไปทำให้เราสามารถเข้าใจทฤษฎีระบบ หรือ System Theory ได้ดียิ่งขึ้น


นึกถึงนิทานตอลสตอย ที่ตอบคำถามที่ว่า เราจะทำอะไร เมื่อไร กับใคร ที่ไหน โดยเขาผูกเป็นเรื่องเล่าอันแยบคายนั้น ก็เป็นเรื่องเดียวกันนี้ เพราะเมื่อเราทำอะไรกับ Holon ที่อยู่ต่อหน้า หรือ ที่ผมนิยมเรียกในภาษาไทยว่า จุลจักรวาล นั้น ก็เท่ากับว่า เรากำลังกระทำกับจักรวาลทั้งหมด คือเมื่อทำกับส่วน ที่เป็นทั้งหมดในตัวของมันเองด้วยนั้น เรากำลังทำกับระบบทั้งระบบ ไม่ว่า มันจะซ้อนทับกันอยู่กี่ชั้น ก็ตาม ซึ่งที่จริงแล้ว มันก็เชื่อมโยงกันไปทั้งจักรวาลนั่นแหละ"

ล่าสุด อจ.วิศิษฐ์ พูดถึงเรื่องนี้อีกในเว็บบอร์ด

"จำได้ว่า เมื่อก่อนเมเคยอ่านเรื่อง uncommon wisdom ของฟริตจอบ คราปา เขาพูดถึงเบตสัน และพูดถึง pattern that connected หรือแบบแผนที่เชื่อมโยงติดต่อกัน เหมือนเรื่อง matrix เหมือนกัน แล้วเมก็ไปอ่านพบเร่ืองของเบตสันในหนังสือของเจเรมี เฮวาร์ดอีก เฮวาร์ดพูดเรื่องโฮลอน โฮลอนนี้ ภาษาอังกฤษคำว่า holon มาจากคำสองคำประกอบกัน ที่แปลได้ความว่า part และ whole หรือ ส่วน กับ องค์รวม หรือทั้งหมด ลองมาตามเรื่องนี้ดี ๆ นะครับ คือทุกระดับของสรรพสิ่ง โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตจะเห็นชัดมาก ทุกระดับจะเป็นส่วน และเป็นทั้งหมดด้วยเสมอ และในฐานะของส่วน ก็จะเชื่อมโยงอยู่กับสิ่งแวดล้อม หรือองค์กรในระดับที่ใหญ่กว่า ยกตัวอย่าง อวัยวะ ก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือระบบชีวิตหนึ่ง ๆ ตัวมันเองในฐานะของความเป็น “ส่วน” มันก็สัมพันธ์กับอวัยวะอื่น ๆ ในฐานะที่เป็นส่วนเหมือนกัน และสัมพันธ์กับองค์รวมของระบบชีวิต หรือร่างกายทั้งหมดด้วย และในฐานะที่เป็น “ทั้งหมด” หรือ “องค์รวม” อวัยวะนั้น ๆ ก็เป็นองค์รวม เป็นทั้งหมดในตัวของมันเอง และมันไล่เลียงไปเช่นนี้ในทุกระดับ ไปจนถึงจักรวาล ด้วยการจัดองค์กรเช่่นนี้ จักรวาลทั้งจักรวาลจึงเป็นเครือข่ายโยงใยถึงกันหมด เมื่อเกิดอะไรขึ้นในโฮลอนใดก็ตาม และสามารถเทียบเคียงได้กับอีทัปปจยตาทางพุทธศาสนา


ทีนี้คำว่า pattern that connected หรือแบบแผนที่เชื่อมโยง นั้นก็แปลว่า ทุกโฮลอนมันก็จะเชื่อมโยงกับทุก ๆ โฮลอนนั่นเอง และการเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมดเลยนั้น ทำให้ทุกโฮลอนก็เหมือนกระจกเงาของจักรวาล ผมเลยเรียกโฮลอนอีกชื่อหนึ่งว่า “จุลจักรวาล” ลองใคร่ครวญเรื่องนี้ต่อไปพลาง ๆ นะครับ ผมว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งเลยล่ะ"

เรียนรู้แผนที่แล้ว เหลือแต่ว่า เราเดินไปอย่างไรตามแผนทีนั้น เซลล์แต่ละเซลล์เชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างไร ในการเดินทาง

เรื่องนี้หากเราเข้าใจ เราทำกับร่างกายและจิตใจของเราได้จริง เราย่อมเข้าใจการทำงานเป็นทีมร่วมกับคนอื่นได้จริงเหมือนกัน

เรื่องบางเรื่องอยู่เหนือการควบคุมจัดการ ให้พิจารณาเพื่อเข้าใจ
แก้ปัญหาบางเรื่อง อาจคลี่คลายอีกเรื่อง เพราะมันเชื่อมโยงกันอยู่

ถือเป็นเรื่องสนุก ในการเกิดมาแล้วได้ทำงาน ร่วมกับผู้คน ทุกครั้งที่รู้ว่าหลงทางไปบ้าง บอกกับตัวเองว่าโชคดีที่รู้ ถือว่าได้ประสบการณ์และได้เรียนรู้ชีวิตทุกครั้ง

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จากเราสู้..สู่เราอยู่ได้ด้วยตนเอง โรงเรียนการเรือนยิ่งเจริญ

เคยเขียนเรื่องเราสู้ แนวคิดการต่อสู้กับ คาร์ฟู

http://numlailning.blogspot.com/2009/08/blog-post.html

วันนี้มีโอกาสเข้าไปดู แนวคิดแบบโรงเรียนการเรือนยิ่งเจริญ แบบตลาดยิ่งเจริญ

http://www.talad-yingcharoen.com/school/flash/mv.html

น่าสนใจจริง ๆ แนวคิดเขาทำได้ครบวงจรเลย
เป็นโรงเรียนเพื่อสร้างสัมมาชีพ เรื่องโภชนาการ
ครบรูปแบบ สร้างจากฐาน
คน และจรรยาบรรณ พ่อค้าแม่ค้า ที่จะให้แก่ลูกค้า
แล้วเขาจะทำได้จริง และอยู่ได้ด้วยตนเอง

เดี๋ยวจะถอดบทเรียน (ตอนต่อไป)

สนใจมากมาก ฟุ้งๆ ไป
อยากทำโรงเรียนในฝันแบบนี้ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้จิตตปัญญาศึกษาเป็นแก่น
หากใครฝัน อยากมีสัมมาชีพอะไร ก็อยู่ได้ด้วยตนเอง
แต่อย่าได้ทิ้งใจ และกายของตนเอง

บางทีการเริ่มต้น เราอาจค่อยๆ ทำจากเล็กไปใหญ่
เหมือนเพลงโฆษณานมยี่ห้อหนึ่ง
..สักวันหนึ่งเราจะโต้ เราจะโต..

นกฝึกงาน

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ถอยออกมา กับ การกลับหลังหัน

ฉันมักจะหลบ และถอยออกมา
หากเพียงรับรู้การเกิดของจิต และกำลังกดข่มไว้ภายในไม่ได้
การทำเช่นนั้น ดูเหมือนเป็นการดี ในสถานการณ์นั้น
แต่กลับทำให้เห็น ความไม่เท่าทันการเกิดของจิตได้

การถอยออกมาจึงเป็นการตั้งหลัก
กับความไม่พอใจเสียเป็นส่วนมาก
เมื่อกลับไปเจอกับสถานการณ์คล้ายๆเดิม กี่ครั้งที่ไม่พอใจก็ยังไม่เท่าทัน

โทสะก็ยังเกิด กลายเป็นโทสะที่กดข่มได้บ้างไม่ได้บ้าง
และปรากฏการกระทำออกมา ให้ได้สะใจ
สนองความหมั่นไส้และอวดรู้ ที่มีอยู่ภายใน

เหมือนมีเยื่อใยกับโทสะ ให้มันมีเชื้อไว้เติบโต
...
ให้ได้ใคร่ครวญ สั่งสอนตน
ฉันเพียงแค่ลืม กิริยาบางอย่าง คือ การกลับหลังหัน
โบราณว่าไว้ เมื่อเจอผี กลับหลังหันลูก อย่าทัก อย่าหันไปมอง เดินไปให้ไกล
ก็เหมือนตัดบัวอย่าเหลือใย

อาจเป็นการเริ่มต้นที่จะเท่าทัน
ประกาศตัวตนให้ชัดเจน ว่าฉันก็มีผีไม่ต่างกัน
ความอวดรู้อาจเบาบาง
ความหมั่นไส้ไม่เติมเชื้อ
โทสะไม่แตกหน่อ
สักวันฉันจะทำให้ไม่เหลือ..ซึ่งเชื้อพันธุ์

น้ำไหลนิ่ง..