วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วิถีชีวิต วิถีกระบวนกร_เด็กฝึกงาน

3 วันที่ผ่านมา กลับไปเป็นเด็กฝึกงาน กระบวนกร ของขวัญเมือง มันรู้สึกอย่างนั้น ก็กลับไปทำงานกับครู(วญ.) กับครูมนตรี เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากการออกไปทำงานเอง อันนั้นรู้สึกว่าตัวเองเป็นเซียน ครูเข้าสิงไปแล้วตอนนั้น..เจ๋งแล้ว

ได้มีโอกาสคุยบนโต๊ะอาหารกับผู้เข้าร่วมบางท่าน ถามว่าฉันเวลาอยู่ในเวิร์คช็อพ ดูจริงจัง และเครียดจัง(ไม่ค่อยยิ้ม) ในชีวิตจริงๆ ใช้ชีวิตจริงจังและเครียดอย่างนี้หรือเปล่า อันนี้ต้องตอบว่า จริงจัง แต่ไม่เครียดค่ะ สบายกว่าทำงานเองโดยไม่มีครูเยอะเลย
จริงจัง ตามประสา นักเรียนแถวหน้าหรือเด็ก(หน้าห้อง) การจริงจังนี้เป็นการตื่นตัว และไม่เครียดอันนี้ถือเป็นจุดดี ครู(วญ.)ว่าอย่างนั้น
แต่คนสมัยนี้ บางคนก็ไม่จริงจัง หรือบางคนจริงจังแล้วยังสะสมความเครียดเข้าไปด้วย

เสน่ห์อันหนึ่งของวิถีกระบวนกรคือ เราได้ใช้เวลาในการใคร่ครวญชีวิตของเราไปด้วย คำถามของเรา ไปปรากฏอยู่ในคำถามของผู้เข้าร่วม

บางคำถาม ไม่มีคำตอบตอนนั้น การเล่าเรื่องราวของเรา เป็นการทบทวน ใคร่ครวญไปในตัว (เป็นเพียงเสี้ยวส่วนของชีวิตที่ผ่านมา อันนี้เลยดูไม่ยิ้มหรือเปล่า เพราะเราเองก็กำลังเฝ้าดู ญานทัศนะว่าเรื่องราวอะไรจะปรากฏชั่วขณะที่เรากำลังจะร้อยเรียงออกมา สื่อสารให้ผู้เข้าร่วมได้รับรู้ อันนี้ฝึก I in Now หรือเปล่าหนอ)
และบางคำถามในเวิร์คช็อพ จิตใต้สำนึกก็เก็บกลับมาทำงานภายในและได้ใคร่ครวญ ในคืนวันที่ผ่านไป

"อะไรคือ ความสุข ที่คุณได้รับในชุมชนขวัญเมือง"

"นกว่า ครู(วญ.)ให้อะไรนก หรือนกได้อะไรจากครู"

เป็นคำถามจากผู้เข้าร่วมคุ่ะ

เวิร์คช็อพ ที่ผ่านมาเราคุยกันเรื่อง ภาวะผู้นำ
มีเสียงที่ได้ยิน คือ เด็กขอพื้นที่จากผู้ใหญ่ และผู้ใหญ่ก็ขอพื้นที่จากผู้ใหญ่กว่า (การเรียกร้องความยุติธรรม ก็เป็นการร้องขอพื้นที่หรือเปล่า?)
แล้วผู้ใหญ่กว่า ก็มีผู้ใหญ่กว่าเสมอ ถ้าครอบครัวล่ะ มีหัวหน้าครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ถ้าโรงเรียนล่ะ ก็มีนักเรียน ครู ครูใหญ่

เวลาเราอยู่ภายใต้อะไรสักอย่าง มันเป็นข้อจำกัดของเราเสมอ
ทำไม ไม่ไปทำงานบริษัทใหญ่ๆ เงินเดือนเยอะๆ พี่ชายเคยถาม แม่เคยแย็บๆ แต่ไม่พูดตรงๆ
ฉันเคยให้คำตอบกับคำถามนี้ไปกับเพื่อนว่า เราคงทำงานในบริษัท หรือเป็นลูกน้องใครไม่ได้ เรารู้สึกว่าเรากำลังอยู่ภายใต้พื้นที่ของบทบาท
หน้าที่ ศักยภาพของเราถูกจำกัดอยู่ภายใต้ความต้องการของเจ้านายหรือใครบางคน..จนใครๆ บอกว่า เป็นคนประเภทรักอิสระ....

หรือว่า...ทุกขณะที่เราต้องการอิสระ นั่นคือเสียงที่เราร้องว่าเรากำลังอึดอัด เรากำลังถูกจำกัดในพื้นที่ที่คับแคบ และเรากำลังพยายามโผล่ให้พ้นสิ่งทีเราอยู่ภายใต้สิ่งนั้น..ไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ที่เราสวมมันอยู่หรืออะไรก็ตามที่เราบอกว่า
เราทำไม่ได้เพราะมันเป็นข้อจำกัดของเรา...เราทำไม่ได้เพราะเรายังเด็ก...เราทำไม่ได้เพราะเราไม่มีอำนาจ...
เราทำไม่ได้เพราะองค์กรเรายังไม่ทำ..ยังไม่มีพื้นที่..ฯลฯ..บางคนอาจแสดงออกมาเป็นการเปลี่ยนงาน เปลี่ยนอาชีพ บางคนแสดงออกถึงอำนาจที่อาจไม่เคยมี บางคนแสดงความเป็นผู้ใหญ่เพราะไม่อยากเป็นเด็กที่อยู่ภายใต้อำนาจใคร และหากเราไม่สามารถทะลุข้อจำกัด ให้อยู่เหนือ หรือผ่านสิ่งนั้นได้ เราก็เลือกที่จะหนี...คือขอไปตายดาบหน้า! หรืออยู่ อยู่อย่างอดทน เพราะฉันมันทำได้เท่านี้....

แล้วกลับมาว่าทำไม ยอมมาเรียนรู้ภายใต้ขวัญเมือง ภายใต้ครู(วญ.) ครูให้อะไร ชุมชนให้อะไร อะไรคือความสุขที่คุณได้รับ อันนี้น่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน อะไรก็ตามที่คุณรู้สึกมันมีเสน่ห์ มันก็จะทำให้คุณหลงรัก และมันก็มักให้ความสุขกับคุณเสมอ
ฉันตอบไปว่าครูให้ชีวิต ฉันไม่แน่ใจว่าใครกล่าวเอาไว้ ว่าคนเราเกิดมามีชีวิต มากกว่า 1 ครั้ง ครั้งแรกที่คุณกำเนิดออกมาเป็นคน พ่อแม่เป็นคนให้กำเนิดคุณมา และจะเกิดใหม่อีกหากคุณมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ
การมาเรียนรู้กับครู ต้องบอกว่าตอนนี้หลักสูตรที่เรียนน่าจะเป็น หลักสูตร วิถีกระบวนกร..วิถีชีวิตในกระบวนทัศน์ใหม่ วิชาที่เรียนอย่างเข้มข้นคือวิชาการเขียนโลกใบใหม่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโลกภายใน และคราวนี้เป็นภาค ภาวะผู้นำ เราไม่ได้เรียนรู้ภาวะผู้นำเพื่อให้อยู่เหนือสิ่งใด แต่เรากำลังเรียนรู้ที่จะอยู่ เข้าใจ และพร้อมจะรับใช้สิ่งที่เราต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดนั้น ณ เวลาหนึ่ง อย่างเป็นอิสระ การเห็นข้อจำกัดนั้นโชคดีแล้วที่ได้เห็น เป็นแบบฝึกหัดที่โผล่ขึ้นมาเพื่อให้เราเรียนรู้และข้ามพ้นมันไป พร้อมๆกับการเติบโตขึ้นของศักยภาพที่มีไม่จำกัด

บทบาทของครู ของผู้ใหญ่ ของเพื่อนกระบวนกร(รุ่นพี่ บางทีก็เด็กกว่าเรา) บางทีก็ทำให้เห็นว่าเป็นผู้นำเรา
เก่งกว่าเรา แต่ทำไมในขณะเดียวกันก็ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังรับใช้เรา หล่อเลี้ยงเรา การพูดคุยที่เราถือเป็นวัฒนธรรมของชุมชน ผู้ใหญ่บอกเล่าเรื่องราวเป็นการเปิดพื้นที่ให้โอกาสเด็กได้ใช้ศักยภาพ เป็นฝ่ายหล่อเลี้ยงบ้าง นี่คือการฝึกฝนความเป็นภาวะผู้นำ
ของเด็กหรือเปล่า? ไปพ้นเรื่องวัย เรื่องอำนาจ บทบาทหน้าที่ หากคุณกำลังรับใช้ใครอยู่คุณย่อมรู้สึกในภาวะผู้นำ ความเป็นผู้นำ
ในโอกาสนั้นๆ ชุมชนจึงเป็นเหมือนครอบครัวขยายที่เราสามารถเรียนรู้ศักยภาพในคน ศักยภาพที่มีวิวัฒนาการของคนที่อยู่ร่วมกัน
ให้ได้แปลกใจ ประหลาดใจในการเติบโตของแต่ละคนเสมอ เป็นการเรียนรู้แบบไม่จบจริงๆ...เนี๊ยะเสน่ห์ ขวัญเมือง...

การเดินทะลุกำแพงอันเป็นข้อจำกัดของตัวเองที่ต้องทำคนเดียวอันเป็นทุกข์อยู่นั้น ก่อให้เกิดความรู้สึกมีความสุขเสมอ ที่รู้สึกว่าไม่เคยโดดเดี่ยวเพราะมีเพื่อนร่วมทาง...

และคงเป็นสุขเพราะ การเรียนรู้ในชุมชนขวัญเมืองตอบสนองต่อการใช้ศักยภาพของตัวเอง...แถมยังมาตอกย้ำว่าศักยภาพของคุณมีมากกว่า
ที่คุณคิดเสมอ

จบแล้วก็ยังคงยืนยันความจริงจัง แต่ไม่เครียดค่ะ
และขออนุญาติ เสพ...ความสุขในการเรียนรู้แบบนี้ไว้สักอย่างก็แล้วกัน

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ผู้นำกระบวนทัศน์ใหม่

ผู้นำ...นำอย่างไรให้ได้ใจ
สิ่งนั้นคือ...การให้คุณค่า คนในทีม
สิ่งนั้นเกิดจากอะไร....ความเชื่อในศักยภาพของคน
สิ่งนั้นมีประโยชน์อย่างไร....แรงจูงใจ แรงบันดาลใจ คุณค่าของตน..ของทีม
จะทำอย่างไรให้เกิดสิ่งนั้น...ให้พื้นที่
เสน่ห์ของสิ่งนั้น.......ได้ใจ ให้ใจ เต็มใจ ภูมิใจ
ความเลวร้ายที่อยู่ภายใต้เสน่ห์....อัตตา

นก

บันทึกข้างบนเขียนเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2551 เขียนเมื่อครั้งหนึ่งเจอสถานการณ์ แล้วดันไปรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับการให้คุณค่าของคนอื่นว่าให้น้อยไปไม่ได้ดังใจ เขียนเมื่อกลับไปเรียนรู้สถานการณ์นั้น..

ไม่ต่างกับวิถีกระบวนกรนอกจาก เรียนรู้วิถีของครู ครูผู้นำพาการเรียนรู้ แล้ว
วิถีกระบวนกรยังเป็นวิถีปฏิบัติของผู้นำ และเป็นผู้นำแบบกระบวนทัศน์ใหม่
เพราะวิถีกระบวนกร เป็นการทำงานเป็นทีม เป็นการรวมตัวกันทำงานของปัจเจก
แต่เป็นปัจเจกที่เป็นนักเรียนรู้และใช้ชีวิตแบบองค์กรจัดการตัวเอง
นักเรียนรู้จึงต้องถือเอาทุกสถานการณ์ เป็นแบบฝึกหัด

เลยลองหัดตั้งคำถามแบบอริยสัจสี่ (อย่างที่ท่านพุทธทาสเขียนไว้ในการศึกษาเต็มรูปแบบ) ตั้งคำถามแบบการสอน สอนตัวเอง ไม่รู้คนอื่นเห็นเป็นอย่างไร หรือมีคำตอบอื่นให้ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้

บันทึกแต่ยังไม่ยอมส่งเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 2 ก.ค.2551 คิดว่าจะไป post วงน้ำชา แต่รู้สึกทำไมชีวิตมันถึงต้องจริงจังขนาดนี้ อยากฝึกเขียนให้สนุกๆ ฮาๆ แต่แฝงปรัชญาบ้าง เลยไม่ได้ไป post

วันนี้กลับมาเจอสถานการณ์ พบพลัง(ไม่บริสุทธิ์) อีกครั้ง รู้สึกกำลังถูกคนอื่นดูถูก วิ่งดูตัวเอง ห้อยแขวน...เกือบไม่ทัน(แสดงว่าทัน)
เลยได้ประโยคง่ายๆ ของชีวิต

" ทุกคนได้สิทธิ์ดูถูกคุณ ยกเว้นตัวคุณ "