วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

ตั้งให้เร็ว ถ้าตกเพราะเห็น

เฝ้าดู เฝ้าดู
เห็นแล้ว เห็นแล้ว

ตกแล้ว ตกอีก แล้วก็ตกอีก
ตั้งไปกี่รอบแล้วหว่า
ตก 100 ครั้ง ตั้งใหม่ 100 หน
นึกในใจ ตกได้ตกไป

พระอาจารย์ไพบูลย์ ว่ามันเปลี่ยนอารมณ์

ตอนแรกนึกเถียง
ตกแล้วตั้งใหม่
แล้วทำไมมันตกอยู่นั่นล่ะ
เรื่องราวเดิมๆ สถานการณ์เดิมๆ มันมาถึง ก็ตกกันอยู่ร่ำไป
ตกแล้ว ตั้งใหม่ มาอีกแล้วก็ตกอีก ตั้งใหม่แล้วไงล่ะ

มีเพื่อนถามว่า งั้นเหมือนตั้งจนกว่าเราจะทำใจได้ใช่มั้ย
เคยบอกเพื่อนไปว่า คงงั้นมั้ง
น่าจะต้องตอบตัวเองว่าเวลาเจออีกที มันตกมั้ย
delay ของการตก มันน้อยลงมั้ย
ตั้งจน delay มันน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง มันไม่ตก มั้ง
แต่ถ้า เจอกี่ที กี่ที ก็ตก ตกแรงพอๆ กันแถมบางทีก็แรงขึ้นไปอีก
นี่ท่าทางจะต้องตั้งเป็นคำถามกับตนเองว่าตั้งใหม่จริงหรือ

แต่แอบเถียงต่อในใจ
เอ แล้วมันต่างกับ positive thinking ไงหว่า
ถ้าเห็นแล้ว เห็นเหตุชัดแล้ว ว่าตกเพราะอะไร
แล้วไม่แก้ไขที่เหตุ พร่ำแต่ตั้งใหม่ ๆ
positive thinking positive thinking
ผ่านไป ผ่านไป
ตั้งแล้วตกอีก ท่าจะเป็นพันเป็นหมื่นหนกระมัง

ปัญญาน้อย ปัญญาน้อย
ตั้งใหม่เป็นเพียงการหลุดออกจากอารมณ์ที่ตก
หันไปจับอารมณ์ใหม่ คือ กายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ปัญญา ยังไม่ทันเกิดเลย
ดันหันไปจับกับอารมณ์ใหม่ คือ สิ่งที่เห็น
เห็นฉันเซ็ง..ทำไมฉันเซ็งได้ขนาดนี้
เห็นฉันเศร้า..ทำไมฉันเศร้าได้ขนาดนี้
เห็นฉันทุกข์..ทำไมฉันทุกข์ได้ขนาดนี้
เห็นฉันวุ่นวาย..ทำไมฉันเป็นได้ขนาดนี้
ไม่ชอบ ไม่ชอบ ไม่ชอบ

เห็นแล้ว...เหตุของตกแล้วตกอีก
สติมาปัญญาเกิด ตรงนี้เอง

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

เห็นมั้ยว่าตกแล้ว...ไม่เห็น..จะตั้งใหม่...ได้อย่างไร

"แป๊ะ" เสียงมือตบกัน
..
ทันมั๊ย
..
มือทั้ง 2 กระทบกันพอดีเกิดเสียง
หูได้ยินเสียง
ตาเห็นการกระทบ
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ ใจ ของเราอีก
...
อธิบายได้เป็นเรื่องเป็นราว
เข้าใจการเกิดได้ชัดเจน
...
แล้วในวิถีชีวิตจริงล่ะ
...
เคยถามใจตัวเองมั้ย
ทำไมเราต้องแสดงพฤติกรรมแบบนี้
เกิดอะไรขึ้นกับใจของเรากันแน่
เจตนาที่เราพร่ำบอกว่า ณ ขณะนั้นว่า ฉันทำเพราะอะไร
ทำไม
ในเวลาต่อมา เราพบว่ายังมีเจตนาอื่นที่ทำให้เราแสดงออกแบบนั้น
และในเวลาต่อมา เราก็พบเจตนาอื่นอีก
...
นั่นคืออดีตที่อยู่ใกล้กับปัจจุบันขณะ..ใช่มั้ย
นั่นคือการเฝ้าดูและเห็นสิ่งที่เกิดกับใจของเรา..ใช่มั้ย
แล้วลองตั้งใหม่ทุกครั้งที่เราเห็นสิ่งที่เกิด
แล้วเราจะเห็นว่าเราเพียงเป็นผู้ดูอดีตที่เข้าใกล้กับ ปัจจุบันขณะทุกที
...
อย่าเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
อย่าเชื่อสิ่งที่ได้เห็น
อย่าเพิ่งมั่นใจสิ่งที่ได้ยิน
อย่าเพิ่งมั่นใจสิ่งที่ได้เห็น
ไม่ต้องทุกข์ระทมกับสิ่งที่ได้ยิน
ไม่ต้องทุกข์ระทมกับสิ่งที่ได้เห็น

ขอให้ตั้งใหม่...ทุกครั้ง
จิตของเราฉลาดและซับซ้อนกว่าที่คิด

ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอะไร ก็ตาม

ขอให้ชื่นชม..ตนเองที่เห็น
ขอให้ขอโทษ..ตนเองกับสิ่งที่ทำ ทั้งอัตตา และความไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง

ตั้งใหม่..เร็วและบ่อยเท่าไร
เราก็เข้าใกล้ปัจจุบันขณะมากเท่านั้น
แล้วเราก็พบว่า...ความสุขเกิดจากการได้มีโอกาสตั้งใหม่อีกครั้ง


(เขียนจากประสบการณ์ ตั้งแล้วตก ตั้งแล้วตก ใช้เวลา เกือบ 15 ชั่วโมงกว่าจะพบความสุขสักครั้งจากการตั้งใหม่....มันยากส์สสสสสสส..ขอบอก)

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

ปรากฏการณ์ชาวบ้านบางระจัน

คืนวันพุธเราคุยกันถึง ปรากฏการณ์ที่ชาวบ้าน หรือชุมชนป้องกันตนเอง ที่เราเปรียบปรากฏการณ์นี้เทียบเท่า การดูแลพื้นที่ของชาวบ้านบางระจัน มีการพูดคุยกันในมุมของการดูแลตัวเองเพราะภัยมาถึงตัว การตระหนักถึงภัยที่จะเกิดกับตัว จึงเกิดการป้องกัน หรือสู้เพื่อปกป้องตัวเอง มากกว่าการคิดถึงระดับชาติ แล้วอย่างไรเล่า จะเพราะเหตุผลอะไร แต่เราก็ได้รับอานิสงส์ หรือผลจากการรักหรือป้องกันตัวเองของชุมชนเล็กๆ เล่านี้ หากเราไม่ได้เรียนรู้กับเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์นี้เสียเลยคงน่าเสียดายแย่

การพูดคุยถึงเหตุการณ์นี้ คืนนั้นนึกถึงคำว่า จุลจักรวาล หรือ Holon ทีเดียว การเกิดปรากฏการณ์เล็กๆ จุดหนึ่งมีผลต่อระบบใหญ่แน่นอน หากคนในชุมชนหนีไปหาที่ๆปลอดภัย ปล่อยให้เกิดอะไรก็ได้กับพื้นที่ของตัวเอง นึกภาพไม่ออกว่าจะเกิดอะไรกับประเทศชาติมากกว่านี้

อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การตระหนักถึงภัยที่ถึงตัว เป็นแรงบันดาลใจ แรงจูงใจมากที่เดียว ที่จะทำให้คนรุกขึ้นมากล้า ละทิ้งความกลัวอย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญไม่มัวรอ ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น...
อันนี้น่าสนใจ สำหรับวิถีการดำรงชีวิตในปัจจุบันที่เราจะพบคำพูดที่ได้ยินติดหู หรือติดปาก คือรอให้ผู้มีอำนาจ มีหน้าที่มาจัดการแก้ปัญหา หรือมีท่าทีเพิกเฉยต่อปัญหา เพราะคิดว่าไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่มีอำนาจ หรือไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบที่ต้องทำ

แล้วอะไรเล่าทีทำให้คนในชุมชนกล้าหาญได้เพียงนี้ อันนี้น่าสนใจ ในการทำงานในการปลุกแรงจูงใจ หรือสร้างแรงบันดาลใจ ทั้งในระดับปัจเจกและสมุหะ และน่าจะเป็นแก่นของการศึกษาเพื่อเรียนรู้การอยู่ร่วมกันตั้งแต่ระดับการดูแลตนเอง จนถึงระดับองค์กรเลยทีเดียว

บังเอิญจริงๆ ได้ดูการพูดถึงปรากฎการณ์นี้พอดี
อจ.ชัยวัฒน์พูดถึงเรื่องนี้ว่า ชาติคือชุมชนแห่งจินตนาการ หรือชุมชนขนาดใหญ่( Mega Community) เปรียบเป็นร่างกายของเรา ซึ่งประกอบไปด้วย เซลล์ขนาดเล็ก นั่นคือชุมชนเล็กๆ มากมาย คนในชุมชนที่รุกขึ้นมาปกป้องเพื่อความปลอดภัย คือ ความรู้สึกของการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ การปกป้องของที่ตัวเองลงทุน หรือเป็นเจ้าของ จึงเกิดเป็นชุมชนเข้มแข็งขึ้นมา แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าหาก เซลล์เล็กๆ เหล่านี้เกิดไม่สามัคคีกัน ทั้งในตัวเซลล์เอง หรือระหว่างเซลล์ หรือบางชุมชนเข้มแข็ง บางชุมชนอ่อนแอ แล้วร่างกายเราจะทำงาน(function)ได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะฟื้นความเข้มแข็งให้เซลล์ และความเข้มแข็งของแต่ละเซลล์ ยังมีการเชื่อมโยงกันอย่างมีสายใยคือความสัมพันธ์ของมนุษย์ยังคงมีอยู่ อันเป็นผลต่อความอยู่รอดทั้งหมดของชุมชนขนาดใหญ่คือร่างกายหรือชาติของเรา

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000043035

นกฝึกบิน

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

1 < 10 < 30

11 < 10 < 30 ความหมายของตัวเลขที่พูดถึงการเริ่มต้นของจำนวนผู้นำหากมีเพียง 1% ที่เริ่มต้นทำ เราจะมีคนตามมาอีก 10% และจะตามมาอีก 30% เป็นตัวเลขของการทำงานแบบเครือข่าย ที่ทำให้มีความหวัง ไม่ต้องนับถึง 100% โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงความเร็วที่จะเป็นไปได้ แล้วอะไรล่ะ ที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดผลเร็ว อย่างคำถามที่ถูกตั้งขึ้นมาว่า "เราจะทำอะไรกันทันหรือ กับสังคมที่แย่ลงทุกวัน" ยิ่งดู clip นี้ก็ยิ่งมีความหวัง และให้คิดว่า หากเครือข่ายทำงานอย่างมีความสุข และเต้นรำไปด้วยกัน ความเร็วอาจจะเร็วกว่าที่คาดคิดไว้ http://www.youtube.com/watch?v=Vq6b9bMBXpg

นกฝึกบิน