วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กินเหยื่อ หรือเป็นเหยื่อ

การเจริญสติ ทำให้เราเห็นรายละเอียด การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
เห็นทั้งโลกภายใน และโลกภายนอก
การเห็น แม้เป็นครั้งละหนึ่งอารมณ์
แต่ก็เห็นความสัมพันธ์ และการเชื่อมโยง หรือรอยต่อของแต่ละอารมณ์
นั่นคือ จุดดับของอารมณ์หนึ่ง เพื่อไปเกิดในอีกอารมณ์หนึ่ง
การเชื่อมโยงเป็นเรื่องของโลกภายในของเรา
สิ่งที่เห็นอาจเป็น จิต สติ กาย หรือ ความคิดของเราที่เกิดและดับ

เราปฏิเสธไม่ได้ โลกภายนอกก็มีส่วนเกี่ยวพันกับการเกิดการดับโลกภายในของเรา
เราจึงต้องสังเกตุ สังเกตุ และสังเกตุ แยกแยะให้ชัด ให้ละเอียด
ว่าอะไรเกิดขึ้น อะไรเปลี่ยนแปลง ในโลกภายในของเรา
อะไรคือเหตุ กระทบเรา ข้างนอก หรือข้างใน
หากเราเห็นแล้ว เราเข้าใจแล้ว
เราจึงมีโอกาส ได้อบรมสั่งสอนตัวเองเป็นสำคัญ
แก้ไขได้ทั้งข้างนอก และข้างใน มันก็เชื่อมกันอยู่นั่นเอง

ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อกล้วยเคยบอกฉันว่า
ให้พิจารณาก่อนพูดว่า คำพูดกระทบผู้อื่นหรือไม่
ฉันจึงระมัดระวังคำพูด ในการพูดหรือกล่าวถึงผู้อื่น
แต่ก่อน ง่ายมากไม่พูดเลย ดูแต่ตัวเอง อาจเป็นการดีอยู่แล้ว
แต่ฉันพบว่า บางเรื่องที่เป็นประโยชน์ เป็นปัญญาในการพัฒนาทั้งตัวเอง และเพื่อน ฉันก็ไม่พูด
บางเรื่องบางราว ที่จะเสียหาย ฉันก็ไม่พูด รอจนเกิดเรื่อง แล้วพูดว่านั่นไง ว่าแล้ว คิดไว้แล้ว..

มีพี่คนหนึ่งบอกฉันว่า เอาภาวนามาเผชิญ อย่าหลบ
ฉันกลับมาดู จริงอยู่ บางเรื่องราวที่ไม่กล่าวไม่พูด เป็นเพราะฉันไม่กล้า
ฉันกลัว การกลับเข้ามากระทบตัวตนของฉัน
ฉันพูดอะไร ก็เป็นมิตร
บางเรื่องฉันเห็นว่าอาจกระทบความสัมพันธ์ ฉันก็ไม่พูด
........
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันคิดว่า ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องฉันเป็นคนกลางทำให้ประสานไมตรี
ฉันก็จะพูดแยกแยะ เชื่อมโยงให้คนอื่นได้เห็น ฉันก็มักเต็มใจจะพูด แบบกล้าๆ ว่าไม่ผิด

การสนทนาจึงเกิด ฉันพูด ผู้ขอ(ภาษาดูดี เรียกโยนตัวกวนให้พูด) และอาจมีคนฟังอื่นๆ อีก
ในแต่ละการสนทนาย่อมมีเรื่องราว มีคนเกี่ยวข้องซึงอาจไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย เป็นบุคคลที่ 3,4, 5
หากฉันพบว่ามีผลสะท้อนกลับมาหาฉัน  ดีหรือไม่ดีก็ช่าง โดยผู้ขอไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย
เพราะผู้ขอก็มักจะพอใจสิ่งที่เราพูด เพราะต้องการให้เราพูด ถึงเอาไปพูดต่อก็มาจากขี้ปากเรา
ฉันถือว่าฉันเป็นเหยื่อ
เพราะเหมือนถูกเสี้ยมเขา เป็นควายให้ขวิดคนอื่น

การกล่าวออกจากปากใคร คนนั้นก็รับกรรม รับการกระทำไป
เพราะการพูด การเชื่อมโยง ต้องมีบุคคลอื่นๆ อยู่เสมอ
มีคนพูด คนฟัง คนถูกกล่าวถึงและบริบทสิ่งแวดล้อมมากมายในสถานการณ์หนึ่งๆ
นั่นคือ เบื้องต้น
ท่ามกลาง คือ เรื่องราวและผลที่เกิดขึ้น
และเบื้องปลาย คือ สุดท้ายเราเห็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์ขี้เหม็น
เกิดกับเขาก็เกิดกับเราเหมือนกัน เพราะสุดท้ายมันจะไม่มีอะไร มันเอาอะไรกับเรื่องราวนั้นๆ ไม่ได้ ปลายทางตรงนั้นจะต้องไม่มีอะไร
สถานการณ์ แค่เสี้ยวส่วน ที่เกิด ไม่มีถูกไม่มีผิด เพราะในถูกมีผิด ในผิดมีถูก ในดีมีชั่ว ในชั่วมีดี นั่นคือการเชื่อมโยงที่เกิดให้เห็นได้ด้วยตาใน ด้วยใจ ไม่ใช่โวหาร

เดี๋ยวนี้ฉันกล้าขึ้น ฉันเลือกที่จะพูดในสิ่งที่ฉันคิดว่า ควรพูด
แต่ก็บาดเจ็บหลายครั้งจากความกล้า เพราะอาจผิดจากวิสัยเดิมที่เลือกจะไม่พูด

และฉันได้เรียนรู้ว่า ต่อจากนี้

ฉันจะเลือกพูดเฉพาะบุคคลที่ยินยอม และแลกกันด้วยการเห็นอัตตาของกันและกัน 
เพราะเบื้องปลาย เราต้องการเรียนรู้และเข้าใจอัตตาของตนเอง เพื่อละวาง ไม่ใช่ไว้ถือครอง
หากใครไม่พอใจ กรุณาบอกด้วยความกรุณา
หากใครไม่แลก ขออนุญาตไม่พูดถึงบุคคลอื่น เพียงเพื่อประโยชน์ของตน

เราจะต้องกินเหยื่อด้วยกัน
เพราะการเชื่อมโยง เบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย อย่างไร ก็เห็นไม่เท่า ไม่เหมือนกัน แน่นอน

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เชื่อมโยง โลก..ขัดแย้งก่อนสมดุล

จิตเกิด
...เห็นกิเลสคน วิ่งวุ่น กับเรื่องเก่าๆ แต่สถานการณ์ใหม่ๆ
จิตเกิด
...เห็นกิเลสคน ที่ยังตื่นเต้นกับปัญญาโลกๆ

พอเห็นคนอื่น...แล้วจิตเกิด
จึงเห็นตนเอง...พบอัตตาของตัวกูว่า
มันไม่แค่เห็น
จิตมันเกิด...เพราะตัวกูมันอยากจะสั่งจะสอน

แล้วพบว่า...ตัวกูไม่สามารถเชื่อมโยงโลกภายในตัวเอง ร่วมกับคนอื่นได้
ศิลปะในการ เชื่อมโยงให้มันละเมียดละไมมีไม่พอ

เห็นทาง...ทำอย่างไร
ทางของใครของมัน โลกของใครของมัน
เชื่อมโยงให้เห็นกันและกันเป็นหนึ่ง
เขาได้แค่ไหนก็แค่นั้น
เราได้แค่ไหนก็แค่นั้น
ปัญญาจะเกิดทั้งเขาและเรา ไม่ขัดแย้ง

ยังทำไม่ได้...ตัวกูแรงกว่า
จึงได้แต่เห็นกิเลสของเขา และเห็นอัตตาตัวเอง เป็นส่วนๆ

ครูบาอาจารย์ว่า... อย่าเปรียบเทียบกับกิเลสคนอื่น
มหาเมตตานะ หากทำให้เขาพบว่าทำไมเขายังแยกส่วน

อ้อ ...นี่เป็นการฝึกตน
เริ่มต้นกับการดับความอยากสั่งอยากสอน
เข้าใจ แล้ว..
ละวางอัตตาตัวเอง
เชื่อมโยงต่อโลกกับเขา ทั้งเขาและเราต่างต้องเข้าใจโลกสมมติ เพียงเข้าใจเปลือก
แล้วเข้าใจกระพี้ แล้วเราจะเลาะเปลือก เลาะกระพี้ เป็นชั้นๆ
จึงมีโอกาสเชื่อมโยงให้ถึงแก่น ทั้งเขาและเรา

เป็น ขันธ์ที่ 10 ของนักปฏิบัติอย่างนี้นี่เอง...
ครูบาอาจารย์ว่า..
จะเอาแต่ปัญญาชั้นสูง แต่ไม่เข้าใจฐานของจิต
คำถามว่าทำไมคนต้องอย่างนั้นอย่างนี้เพราะไม่เข้าใจฐานของจิต

และ...อันนี้นี่เองเหตุแห่ง...อัตตาของกู

ก็คงต้องทำ ทำ และทำให้เข้าไปในใจให้จิตยอมรับ
..ละได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น คงเข้าใจ

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

โฮลอน..รักษาหัวใจกับสมอง..รักษาทีม

เมื่อคืนวันถอดประสบการณ์การเดินทางไปเหนือของ BCL กับ อจ.นิกร

มีการเรียนรู้และพูดถึง หัวใจ กับ สมอง หากรักษา 2 สิ่งนี้ก็จะทำให้มีชีวิตรอดได้
หากสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตาย ก็เท่ากับไม่มีชีวิต ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้

จริงๆ เป็นการพูดเหมือนเปรียบเปรย

แต่เรากำลังพูดถึงความจริง พูดถึงสิ่งมีชีวิต พูดถึงทีม ถึงองค์กร ที่การบริหารจัดการแบบกระบวนทัศน์ใหม่ วิทยาศาสตร์ใหม่ เขากำลังพูด และพยายามทำให้เกิด สิ่งที่เรียกว่า องค์กรมีชีวิต

หากแต่เขาเปรียบกันไปเป็นเซลล์ เลย เปรียบเสมือนร่างกายเรา ทุกๆเซลล์ที่ก่อประกอบเป็น อวัยวะ อวัยวะหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น สมอง หัวใจ ตับ ไต ฯลฯ ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิต และใช้วิธีการสื่อสาร เชื่อมโยงกันเป็นการประกอบกันเป็นร่างกาย ทุกอย่างมีการเชื่อมโยงกัน หากสิ่งแวดล้อมเกิดกระทบกับเซลล์ๆ หนึ่งในร่างกาย หากการสื่อสารผิดปกติ ก็จะกระทบกันเป็นระลอกคลื่นถึงกัน เป็นเรื่องเดียวที่เขาพูดถึงการทำงานเป็นทีม หากเราเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์รวม หากเราเข้าใจเป้าหมายไปคนละทิศคนละทางกับทีม หากทำเองก็ผิดทาง หากยิ่งไม่สื่อสารไม่เชื่อมโยงกับคนอื่นเลย ยิ่งไปกันใหญ่ งานใหญ่ๆ คนทำกันเยอะๆ จึงไม่ค่อยมีประสิทธิผลเท่าที่ควร นี่คือหัวใจของเรื่องการทำงานเป็นทีม โดยเฉพาะงานสาธารณะ งานที่ทำเพื่อประโยชน์ต่อคนอื่น ชุมชน สังคม และตัวเองก็ได้ประโยชน์นั้นด้วย เราจะเรียนรู้ในการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายอย่างไร

มีคำๆ หนึ่งที่มาทำงานเรื่องวัฒนธรรมองค์กร แล้วพบว่ามันเป็นหัวใจในการอยู่ร่วม คือคำว่า Holon และพบว่าคำๆ นี้มีความหมาย มีความสำคัญ เริ่มต้นเล็กๆ แก้ไขจุดเล็กๆ จะมีผลต่อทั้งหมดเอง เพราะมันมีความเชื่อมโยงกันอยู่

เลยเป็นคำ และทฤษฎี ที่พอเป็นแผนที่และถือเป็นคติในการใช้ชีวิต ครั้งหนึ่ง เคยคุยกับ อจ.วิศิษฐ์ เรื่องนี้ ขอแบ่งปันค่ะ

"Holon
หรือจุลจักรวาล


คำ ๆ นี้เป็นคำที่เคน วิลเบอใช้ อธิบายความเป็นไปในจักรวาลว่า เป็นเสี้ยวส่วนและลดหลั่่นกันขึ้นไป หรือลงมาเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้น ก็จะเป็นทั้งส่วนหนึ่งของชั้นต่อไป และในขณะเดียวกันก็เป็นทั้งหมด ในชั้นของตัวเอง


ประการต่อมา ส่วน/ทั้งหมด หรือ Holon นี้ มีความเชื่อมโยงกับระดับอื่น ๆ ชั้นอื่น ๆ ทั้งหมดอยู่อย่างสลับซับซ้อน แบบอิทัปปัจยตา หรือ ต่างดำรงอยู่ในกันและกัน ซึ่งการทำงานกับ Holon นี้ อาจส่งผลกระทบถึงระบบทั้งระบบ อันนี้ เหมือนเป็นกุญแจลับ ไปทำให้เราสามารถเข้าใจทฤษฎีระบบ หรือ System Theory ได้ดียิ่งขึ้น


นึกถึงนิทานตอลสตอย ที่ตอบคำถามที่ว่า เราจะทำอะไร เมื่อไร กับใคร ที่ไหน โดยเขาผูกเป็นเรื่องเล่าอันแยบคายนั้น ก็เป็นเรื่องเดียวกันนี้ เพราะเมื่อเราทำอะไรกับ Holon ที่อยู่ต่อหน้า หรือ ที่ผมนิยมเรียกในภาษาไทยว่า จุลจักรวาล นั้น ก็เท่ากับว่า เรากำลังกระทำกับจักรวาลทั้งหมด คือเมื่อทำกับส่วน ที่เป็นทั้งหมดในตัวของมันเองด้วยนั้น เรากำลังทำกับระบบทั้งระบบ ไม่ว่า มันจะซ้อนทับกันอยู่กี่ชั้น ก็ตาม ซึ่งที่จริงแล้ว มันก็เชื่อมโยงกันไปทั้งจักรวาลนั่นแหละ"

ล่าสุด อจ.วิศิษฐ์ พูดถึงเรื่องนี้อีกในเว็บบอร์ด

"จำได้ว่า เมื่อก่อนเมเคยอ่านเรื่อง uncommon wisdom ของฟริตจอบ คราปา เขาพูดถึงเบตสัน และพูดถึง pattern that connected หรือแบบแผนที่เชื่อมโยงติดต่อกัน เหมือนเรื่อง matrix เหมือนกัน แล้วเมก็ไปอ่านพบเร่ืองของเบตสันในหนังสือของเจเรมี เฮวาร์ดอีก เฮวาร์ดพูดเรื่องโฮลอน โฮลอนนี้ ภาษาอังกฤษคำว่า holon มาจากคำสองคำประกอบกัน ที่แปลได้ความว่า part และ whole หรือ ส่วน กับ องค์รวม หรือทั้งหมด ลองมาตามเรื่องนี้ดี ๆ นะครับ คือทุกระดับของสรรพสิ่ง โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตจะเห็นชัดมาก ทุกระดับจะเป็นส่วน และเป็นทั้งหมดด้วยเสมอ และในฐานะของส่วน ก็จะเชื่อมโยงอยู่กับสิ่งแวดล้อม หรือองค์กรในระดับที่ใหญ่กว่า ยกตัวอย่าง อวัยวะ ก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือระบบชีวิตหนึ่ง ๆ ตัวมันเองในฐานะของความเป็น “ส่วน” มันก็สัมพันธ์กับอวัยวะอื่น ๆ ในฐานะที่เป็นส่วนเหมือนกัน และสัมพันธ์กับองค์รวมของระบบชีวิต หรือร่างกายทั้งหมดด้วย และในฐานะที่เป็น “ทั้งหมด” หรือ “องค์รวม” อวัยวะนั้น ๆ ก็เป็นองค์รวม เป็นทั้งหมดในตัวของมันเอง และมันไล่เลียงไปเช่นนี้ในทุกระดับ ไปจนถึงจักรวาล ด้วยการจัดองค์กรเช่่นนี้ จักรวาลทั้งจักรวาลจึงเป็นเครือข่ายโยงใยถึงกันหมด เมื่อเกิดอะไรขึ้นในโฮลอนใดก็ตาม และสามารถเทียบเคียงได้กับอีทัปปจยตาทางพุทธศาสนา


ทีนี้คำว่า pattern that connected หรือแบบแผนที่เชื่อมโยง นั้นก็แปลว่า ทุกโฮลอนมันก็จะเชื่อมโยงกับทุก ๆ โฮลอนนั่นเอง และการเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมดเลยนั้น ทำให้ทุกโฮลอนก็เหมือนกระจกเงาของจักรวาล ผมเลยเรียกโฮลอนอีกชื่อหนึ่งว่า “จุลจักรวาล” ลองใคร่ครวญเรื่องนี้ต่อไปพลาง ๆ นะครับ ผมว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งเลยล่ะ"

เรียนรู้แผนที่แล้ว เหลือแต่ว่า เราเดินไปอย่างไรตามแผนทีนั้น เซลล์แต่ละเซลล์เชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างไร ในการเดินทาง

เรื่องนี้หากเราเข้าใจ เราทำกับร่างกายและจิตใจของเราได้จริง เราย่อมเข้าใจการทำงานเป็นทีมร่วมกับคนอื่นได้จริงเหมือนกัน

เรื่องบางเรื่องอยู่เหนือการควบคุมจัดการ ให้พิจารณาเพื่อเข้าใจ
แก้ปัญหาบางเรื่อง อาจคลี่คลายอีกเรื่อง เพราะมันเชื่อมโยงกันอยู่

ถือเป็นเรื่องสนุก ในการเกิดมาแล้วได้ทำงาน ร่วมกับผู้คน ทุกครั้งที่รู้ว่าหลงทางไปบ้าง บอกกับตัวเองว่าโชคดีที่รู้ ถือว่าได้ประสบการณ์และได้เรียนรู้ชีวิตทุกครั้ง

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จากเราสู้..สู่เราอยู่ได้ด้วยตนเอง โรงเรียนการเรือนยิ่งเจริญ

เคยเขียนเรื่องเราสู้ แนวคิดการต่อสู้กับ คาร์ฟู

http://numlailning.blogspot.com/2009/08/blog-post.html

วันนี้มีโอกาสเข้าไปดู แนวคิดแบบโรงเรียนการเรือนยิ่งเจริญ แบบตลาดยิ่งเจริญ

http://www.talad-yingcharoen.com/school/flash/mv.html

น่าสนใจจริง ๆ แนวคิดเขาทำได้ครบวงจรเลย
เป็นโรงเรียนเพื่อสร้างสัมมาชีพ เรื่องโภชนาการ
ครบรูปแบบ สร้างจากฐาน
คน และจรรยาบรรณ พ่อค้าแม่ค้า ที่จะให้แก่ลูกค้า
แล้วเขาจะทำได้จริง และอยู่ได้ด้วยตนเอง

เดี๋ยวจะถอดบทเรียน (ตอนต่อไป)

สนใจมากมาก ฟุ้งๆ ไป
อยากทำโรงเรียนในฝันแบบนี้ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้จิตตปัญญาศึกษาเป็นแก่น
หากใครฝัน อยากมีสัมมาชีพอะไร ก็อยู่ได้ด้วยตนเอง
แต่อย่าได้ทิ้งใจ และกายของตนเอง

บางทีการเริ่มต้น เราอาจค่อยๆ ทำจากเล็กไปใหญ่
เหมือนเพลงโฆษณานมยี่ห้อหนึ่ง
..สักวันหนึ่งเราจะโต้ เราจะโต..

นกฝึกงาน

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ถอยออกมา กับ การกลับหลังหัน

ฉันมักจะหลบ และถอยออกมา
หากเพียงรับรู้การเกิดของจิต และกำลังกดข่มไว้ภายในไม่ได้
การทำเช่นนั้น ดูเหมือนเป็นการดี ในสถานการณ์นั้น
แต่กลับทำให้เห็น ความไม่เท่าทันการเกิดของจิตได้

การถอยออกมาจึงเป็นการตั้งหลัก
กับความไม่พอใจเสียเป็นส่วนมาก
เมื่อกลับไปเจอกับสถานการณ์คล้ายๆเดิม กี่ครั้งที่ไม่พอใจก็ยังไม่เท่าทัน

โทสะก็ยังเกิด กลายเป็นโทสะที่กดข่มได้บ้างไม่ได้บ้าง
และปรากฏการกระทำออกมา ให้ได้สะใจ
สนองความหมั่นไส้และอวดรู้ ที่มีอยู่ภายใน

เหมือนมีเยื่อใยกับโทสะ ให้มันมีเชื้อไว้เติบโต
...
ให้ได้ใคร่ครวญ สั่งสอนตน
ฉันเพียงแค่ลืม กิริยาบางอย่าง คือ การกลับหลังหัน
โบราณว่าไว้ เมื่อเจอผี กลับหลังหันลูก อย่าทัก อย่าหันไปมอง เดินไปให้ไกล
ก็เหมือนตัดบัวอย่าเหลือใย

อาจเป็นการเริ่มต้นที่จะเท่าทัน
ประกาศตัวตนให้ชัดเจน ว่าฉันก็มีผีไม่ต่างกัน
ความอวดรู้อาจเบาบาง
ความหมั่นไส้ไม่เติมเชื้อ
โทสะไม่แตกหน่อ
สักวันฉันจะทำให้ไม่เหลือ..ซึ่งเชื้อพันธุ์

น้ำไหลนิ่ง..

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปรัชญาองค์กร ปรัชญาชีวิต...เจ้าบ้านมีหรือ??

จุดเริ่มต้น จุดเล็กๆ มีขอบเขตเพื่อให้คุณมองเห็นให้คุณทำได้
สร้างแรงบันดาลใจ และกำลังใจ ให้พิสูจน์ว่า เมื่อผีเสื้อขยับปีก องคาพยัพ จะเกิดขึ้นกับโลกทั้งใบ
เมื่อนั้น โลกทั้งโลกจะกว้างใหญ่ ได้เท่าสิ่งที่คุณเชื่อ
เพราะขอบเขต หรือรั้ว เป็นสิ่งที่คุณกำหนดและวาดไว้เอง ไม่ใช่ใครอื่น

บ้านที่ไร้รั้วจึงเริ่มต้นที่ฉัน การเดินทาง แต่ละย่างก้าวที่เดินไป เมื่อไหร่ที่เห็น ...ฉัน
ฉันก็ปักรั้ว ไว้ที่ตรงนั้นการก้าวข้ามรั้ว เป็นรสชาด และการเติบโตของชีวิต
การเดินต่อ จึงเป็นการอยู่อย่างมีความหมายที่ควรค่าแก่การเกิดมา
เพราะสุดท้ายก็ต้องมลายไป เหมือนๆ กัน

น้ำไหลนิ่ง..

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

(1-event) เข้าใจสังคม..กับอนาคตของชาติ

(1-event) เข้าใจสังคม..กับอนาคตของชาติ

ค่ำคืนหนึ่ง(1-10-09) กับวงสนทนาสบายๆ

การสนทนากับความคิดที่หลากหลาย
ตัวแทนของประชาชน แสนเก่งมองไปข้างหน้า สร้างและสร้างเพื่อความเจริญของประเทศ บางอย่างไม่สำคัญพอทีจะต้องลงไปทำ ผ่านแล้วก็ผ่านไป
นักการเมืองท้องถิ่นผู้จริงจัง ความขัดแย้งไม่ใช่ของเล่น ทำเท่าที่ทำได้ ทำที่เหลือให้เป็นประโยชน์ อย่าย้อนกลับสิ่งที่ผ่านไป อดีตกลายเป็นหอก เป็นมีดทิ่มแทงกันไป
นักธุรกิจผู้เอื้อเฟื้อต่อสังคมอย่างเป็นกลาง แต่ยืนคนละข้างกับอีกกลุ่มอย่างช่วยไม่ได้ สร้างพื้นที่เรียนรู้ได้ไหม อดีตที่พูดกลายเป็นอารมณ์ที่ชอกช้ำ
นักเรียนรู้ ถอดบทเรียนกับอดีตที่ผ่านมา สร้าง software ก่อน hardware ขอย้ำ ๆ

บางคนอาจสวมสถานะ ไว้มากกว่าหนึ่ง
การคุยกันของคนประมาณ 10 คน
อาจเป็นจุลจักรวาล ของสังคมเมือง อันเป็นจักรวาลได้ทีเดียว

นั่งฟังๆ ไปก็ เอ..คุยเรื่องเดียวกันหรือปล่าว หว่า
เออ อย่างน้อยก็มีแต่ความปรารถนาดีต่อสังคม
แต่ถ้าคุยกัน คิดกันอย่างนี้ มีอย่างเดียว
...
ต้องต่างคนต่างทำ
...
ตกผลึก..กับพบว่า มันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วนี่หว่า
สังคมมันถึงเป็นอย่างนี้ นี่ไง
ตัวแทนของประชาชน และนักธุรกิจมองไปข้างหน้า กับอำนาจ ได้ผลประโยชน์กับปัจจุบัน ฝันถึงอนาคต อดีตช่างมัน
ไม่คิดเรียนรู้บทเรียน จากอดีต
หรืออาจจะเรียนก็ได้ เพราะฉลาดเป็นปัจเจก เรียนรู้ได้เฉพาะตน
แต่ไม่อนุเคราะห์ต่อสังคม

ข้าราชการที่ต้องทำงานกับประชาชนก็ทำตามหน้าที่ ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง

ที่เหลือ ตาสี ตาสา เด็ก เยาวชน ผู้น้อย ..เชื่อ แบบหมาหางด้วน ไม่โง่ ก็เหมือนโง่ เพราะไม่เท่าทัน
อนาคตของชาติ จะเป็นอย่างไรหว่า

คนข้างบนวิ่งไปข้างหน้า
คนกลาง ก็เอาเท้าราน้ำ
คนข้างล่าง ก็อยู่กับที่ หรือไม่ก็ถอยหลังเข้าคลอง


และฉันจึงได้คำตอบ ฉันจะทำอะไร
สร้างคน ให้คนมีปัญญา เพื่อเท่าทันกัน
ส่วนอะไรจะเกิดขึ้น คงต้องเชื่อว่า เขาจะมีวิจารณญานในการเลือก ฟัง ดู และทำ ให้กับตัวเขาและสังคม
ก็แค่นี้เอง...ง่ายจะตายไป


นก

ปล.

แค่สายหนึ่งของความคิด ที่ผ่านมา
เป็นความคิดชั่วขณะหนึ่ง อาจไม่ถูกทั้งหมด
และไม่คงทนถาวร
....
ไม่ได้มีเจตนาว่าวิธีคิดของคนอื่นเป็นเช่นไร
แต่คิดว่าได้เรียนรู้ กับสายความคิดนี้และเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของตัวเอง
ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ว่าจะทำอะไร
ขอบคุณทุกคนที่นั่งคุยกันคืนนั้นค่ะ

และขอโทษด้วยหากกระทบตัวตนใครโดยไม่เจตนา
(ตัววิจารณ์ออก กลัวไปกระทบคนอื่นมากไป)

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ควันของความคิด กับ ต้นธารปัญญาแห่งต้นน้ำเจ้าพระยา

โครงการ ต้นธารปัญญาแห่งต้นน้ำเจ้าพระยา

ขงจื้อ กล่าวว่า
เราเกิดปัญญาได้สามวิธี
วิธีแรกคือใคร่ครวญ ซึ่งเป็นวิธีที่มีภูมิธรรมสูงที่สุด
วิธีที่สองคือรู้จากประสบการณ์ ซึ่งเป็นวิธีที่ขมขื่นที่สุด
วิธีที่สามคือเลียนแบบ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด


อาจเป็นเพราะความเชื่อทีว่าปัญญาเกิดจากการฟัง ดังนั้นการลงมือเสาะหาความลับแห่งปัญญาและการดำเนินชีวิตที่เติมเต็มและมีจุดหมาย จึงเป็นการเริ่มด้วยการฟังเรื่องราวของผู้อื่น โครงการต้นธารปัญญาแห่งต้นน้ำเจ้าพระยา คือปัญญาที่เกิดจากวิธีที่สาม เป็นปัญญาที่ต้องมีต้นแบบ เราชุมชนนครสวรรค์จึงต้องร่วมมือร่วมใจกันสร้างพื้นที่ ที่มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ในการเสาะหาต้นธารปัญญาอันจะเป็นมรดกของชุมชน ที่จะส่งต่อดุจดั่งสายธารที่รินไหลสู่ห้วงมหาสมุทรแห่งปัญญา

วัตถุประสงค์
1. เสาะหา สืบค้น ปัญญาในตัวผู้คนของท้องถิ่นเป็นหลัก
2. หาต้นแบบ เพื่อส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ผ่านฐานวัฒนธรรมของชุมชน
3. บันทึก เผยแพร่ เพื่อส่งเสริมการบ่มเพาะความรู้ชองชุมชน
4. ส่งเสริมการเท่าทัน การใช้ชีวิตในยุคบริโภคนิยม
5.สร้างเครือข่ายผู้ที่สนใจการเรียนรู้เพื่อจิตสำนึกใหม่

กลุ่มเป้าหมาย

กลุ่มคนที่ ๑ สายธาร กลุ่มคนที่มีถิ่นกำเนิดที่นครสวรรค์หรือปัจจุบันมีถิ่นที่อยู่ในจังหวัดนครสวรรค์อายุ 25 ปีขึ้นไป มีประวัติในการทำงานให้แก่สังคม หรือมีความสนใจในการทำงานแบบจิตอาสา หรือมีความสนใจเรื่องจิตสำนึกใหม่ หรือ จิตวิวัฒน์
กลุ่มคนที่ ๒ ต้นธาร ให้เป็นผู้สูงวัย อายุ 50 ปีขึ้นไปที่มีถิ่นกำเนิดที่นครสวรรค์ หรือปัจจุบันมีถิ่นที่อยู่อยู่ในจังหวัดนครสวรรค์
กลุ่มคนที่ ๓ มหาสมุทร คนในชุมชน ทุกวัย ในชุมชน

กิจกรรมกระบวนการ

ระยะที่ ๑

ขั้นตอนที่ ๑ เลือกสายธาร รวบรวมทุก 1 สัปดาห์

เลือกหาสายธาร

เริ่มต้นเสนอ กลุ่ม YE , กลุ่ม YCL, กลุ่มนครสวรรค์ฟอรั่ม , ครูณา, พี่เบ็ธ , พี่เปี๊ยก, ศรชัย, พี่เดช ฯลฯ......

ขั้นตอนที่ ๒ เสาะหาต้นธาร รวบรวมทุก 1 สัปดาห์

๑. ให้กลุ่มคนที่ ๑ คือสายธาร ระบุชื่อผู้สูงวัยมาหนึ่งคน ซึงเป็นคนที่เราเชื่อว่าท่านได้ค้นพบจุดหมายและความสุข จากนั้นให้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับท่านๆนั้นมา
dialogue กลุ่มสายธาร คุยกันทำไมถึงเสนอชื่อ ต้นธาร ท่านนี้ เกิดแรงบันดาลใจอะไรในตัวเอง

๒. เสาะหาต้นธาร นัดมา 10-15 คน รวม สายธารด้วย(สายธารเชิญต้นธาร) ทำวงสนทนา 20-30 คน

เราจะนั่งสัมภาษณ์ส่วนตัว/นั่งคุยกันอย่างน้อย 3 ชั่วโมง กับคำถามเหล่านี้
1. อะไรนำมาซึ่งความสุข
2. อะไรทำให้ชีวิตมีความหมาย
3. อะไรเป็นเรื่องเสียเวลา
4. หากย้อนเวลากลับไปได้ จะทำอะไรให้แตกต่างจากเดิม
5. อะไรคือจุดหักเหสำคัญที่เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเขา
6. พวกเขารู้สึกอย่างไรกับการใช้ชีวิตนี้กับมรดกที่จะส่งต่อ
.......
......

ขั้นตอนที่ ๓ ไหลสู่มหาสมุทร
บันทึก
เผยแพร่


ระยะที่ 2 ลูกคลื่น
เลือก ต้นธาร มานั่งคุย มองอย่างลึกซึ้ง สัก 1 -2 คน เดือนละ 1 ครั้ง
เชิญ ต้นธารของประเทศ มาร่วม สัก 1 คน 2 เดือน/ 1 ครั้ง เช่น นพ.ประเวศ,อ.ระพี สาคริก ฯลฯ
เปิดพื้นที่ เชื้อเชิญ คนในชุมชนให้มาฟังอย่างลึกซึ้ง เดือนละ 1 ครั้ง




เป็นโครงการที่มีแรงบันดาลใจ จากการเห็น ต้นธาร อย่าง เฮียเปรียว พี่วาส ฯลฯ
สายธารต้นๆ พี่หมอ พี่ประพนธ์ ฯลฯ
สายธารกลางๆ อย่าง พี่ใช้ พี่คมกฤช ประกิจ ศรชัย ฯลฯ
สายธารปลายๆ ดาวรุ่งพุ่งแรง อย่าง เติ้ง กลอฟ์ ตูน ฯลฯ
มาสนใจ ต่อสู้กับเรื่องคาร์ฟู


อะไรหนอ ที่จะทำให้ปัญหาของคนกลุ่มหนึ่ง(เพราะมองว่ามันเป็นปัญหา) จะทำให้ชุมชนตระหนักรู้ ว่าเป็นปัญหาของชุมชน
เรายังมีปัญหาสำหรับสังคมสมัยใหม่ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันวิ่งตามมันทัน หรือไม่ก็เหนื่อยมากในการวิ่งแก้ปัญหา คาร์ฟู โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อะไรต่อมาอีกล่ะ


หรือ เราต้องทำให้คนในชุมชนของเรามีปัญญามากพอ ที่จะตระหนักรู้
และปัญญา ที่ง่ายที่สุด คือวิธีที่สาม


เราอาจต้องถอดหาต้นธาร ของเฮียเปรียว พี่วาส ว่าประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา มีต้นแบบเป็นใคร ทำไม อะไร อย่างไร ที่ทำให้วันนี้ พี่ๆ จึงตระหนักถึงการทำงานเพื่อสังคม เพื่อชุมชน


เพื่อถ่ายทอด ให้คนในชุมชนได้เรียนรู้ และลูกคลื่นเล็กๆ ทั้งหลายในชุมชน ได้หันกลับมามองอย่างลึกซึ้งว่าเขาก็คือคนสำคัญ เขาเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสิ่งดีๆ และทำลายชุมชน ด้วยความคิดเห็นของเขาแม้เพียงเขาเลือกที่จะอยู่เฉยๆ


ด้วยความหวังเมื่ิอลูกคลื่นเล็กๆ ที่สะอาดพอ มารวมๆ กัน ก็พอจะทำให้สายธารของเราไม่เน่าเสีย พอจะอยู่ร่วมกันได้ ไม่ต้องหวังว่ามันจะใสสะอาดสะทีเดียว

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ถอดบทเรียนคาร์ฟูร์ ตอน ทางเลือก ด้วยความขอบคุณและด้วยความเป็นดั่งพี่น้องกัน

มันไม่ง่ายเลย ที่จะทำได้อย่างแนวทางที่เรายึดถือไว้
หากมีสถานการณ์ เกิดขึ้นแล้วเราเลือกทำอย่างไร นั่นคือประสบการณ์ที่บอกว่าได้ทำตามแนวทางที่ยึดถือไว้หรือเปล่า
เลือกที่จะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรหากไม่เห็นด้วย
หรือไม่รู้จะทำอะไร

สถานการณ์คาร์ฟูร์ เป็นอีกหนึ่งที่พิสูจน์

ตอนแรกรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ร่วมกับกลุ่มที่มีการแสดงออกเช่นเขียนป้าย ต่อการไม่เห็นด้วย ตอนแรกคิดว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอ และรู้สึกว่าไม่ชอบอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งเป็นส่วนตัวเลยมีความรู้สึกไม่ออกความคิดเห็นมากมายอะไร

เมื่อคืนวันพุธก่อน ที่ยกเลิกการเขียนป้าย คัดค้าน คาร์ฟูร์
เปลี่ยนแนวเป็นการเขียนป้ายบอกให้รู้ว่า เราขอให้ใช้พื้นที่สาธารณะกุศลให้มีประโยชน์มากกว่า แหล่งช้อปปิ้ง
ก็เออ รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
และเชียร์ ไปอีกหากใช้พื้นที่สร้างโรงพยาบาล
และไม่แสดงความคิดเห็นอื่นที่กลุ่มจะดำเนินการ
แต่ก็รู้สึกว่าอยู่บนการทำการที่แสดงความขัดแย้ง
และต่อว่าฝ่ายตรงข้ามที่คิดต่าง

แต่นกมีตัวอย่างที่พบว่า มีทางอื่นอีก

ไถ่ ติช นัท ฮันห์ เขียนไว้ว่า

ประสบการณ์สงครามหลายครั้งในเวียดนาม ให้ฉันเชื่ออย่างหนักแน่นว่า การก่อการร้ายนั้นไม่สามารถระงับได้โดยการใช้กำลัง
และการฟังอย่างลึกซึ้งนั้นทรงพลังมากกว่าลูกระเบิดทั้งหลาย การก่อการร้ายเกิดขึ้นจากความคิดเห็นที่ผิด ผู้ก่อการร้ายมีความคิดเห็นที่ผิดเกี่ยวกับตัวของพวกเขาเอง และพวกเขาก็มีความคิดเห็นที่ผิดต่อพวกเราด้วย นี่คือเหตุผลที่พวกเขาต้องการทำลายและลงโทษพวกเรา ถ้าเรารู้วิธีที่เขาคิด วิธีที่เขารับรู้สิ่งต่างๆ เราจะสามารถช่วยเขาถอดถอนความคิดเห็นที่ผิดเหล่านี้ได้ งานของการถอดถอนความคิดเห็นที่ผิดนี้ คือรากฐานแห่งการแปรเปลี่ยนความรุนแรง และการก่อการร้าย อีกทั้งยังเป็นการหล่อเลี้ยงสันติภาพให้งอกงาม
.....
น่าเสียดายว่า นักการเมืองเราไม่คุ้นเคยกับการฝึกปฏิบัติแบบนี้ และแนวคิดร่วมของสังคมที่คิดว่าอำนาจที่เรามี คืออำนาจทางการเงินและทางการทหารเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเรายังมีอำนาจประเภทอื่นๆอีกด้วย สหรัฐอเมริกาเองก็มีอำนาจแห่งความเข้าใจและอำนาจแห่งความกรุณา หากเขารู้จักเลือกที่จะใช้อำนาจเหล่านี้ ในสหรัฐอเมริกามีผู้คนจำนวนมากมายที่มีปัญญา มีความเข้าใจ และความกรุณา หากเพียงพวกเขาเพียงพร้อมใจกันออกมาแสดงความห่วงใยและเสนอทางออก เราย่อมผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ไปได้
......
ไถ่ ใช้วิธีเขียนจดหมายรักถึงประธานาธิบดี จอร์จ ดับบลิว บุช ผู้ทรงเกียรติ
และขอบคุณที่อ่านจดหมายนี้
ด้วยความขอบคุณและด้วยความเป็นดั่งพี่น้องกัน
p 202-201

ท่านว่าเขียนยากกว่าจดหมายประท้วง
จาก The Art of Power p.194-201

ขออนุญาติอีกครั้งที่ส่งให้เฉพาะผู้คนที่ฝึก dialogue เป็นวิถี เพราะยังคงเป็นการเขียน ย้ำการเขียนนี่ตีความได้หลากหลาย
และเรื่องคาร์ฟูร์นี้เป็นเรื่องเร่งด่วน และมีการใช้พลังขับเคลื่อนในกลุ่ม YCL
อาจเป็นอีกแนวทางหนึ่ง

ที่สำคัญได้แต่พูด ยังไม่ได้ทำ และไม่เคยทำ

นกเริ่มเชื่อแล้ว เมืองไทยสบายเกินไป เรื่องความเมตตากรุณา สุดยอดยุคนี้จึงเป็น ชาวเวียดนาม หรือชาวฑิเบต ผู้ซึ่งผ่านประสบการณ์ความรุนแรงในชีวิต

นกอยากให้อ่านจดหมายที่ไถ่เขียนจัง
เผื่อมีคนอยากเขียนจดหมายรักถึง กรรมการมูลนิธิ หรือ สท.
ใครเห็นว่าเป็นไง

นกฝึกบิน

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ถอดบทเรียนคาร์ฟูร์ ตอน เราสู้

หากสู้เพราะใช้พื้นที่มูลนิธิ ก็ขอให้กำลังใจสู้ๆ กันต่อไป
หากสำเร็จเพราะใช้พื้นที่ผิดประเภท ..ก็คงไม่ได้สร้าง..
แต่

ขออนุญาต แสดงความคิดเห็นเฉพาะคน ให้พี่หมอกับป้อมก่อน เพราะไม่ถึงกับไม่เห็นด้วยแต่ก็คิดว่าเป็นทางหนึ่งของปรากฏการณ์หนึ่งที่ต้องการออกเสียงการไม่เห็นด้วยแต่นก มองเชิงการถอดบทเรียนอีกทางกับเหตุการณ์นี้...

คือไม่รู้ว่าจะได้สร้าง หรือไม่..ยังไม่รู้ แต่แน่ๆ Big C กับ Maccro ก็มีแล้ว

ถ้าคาร์ฟูร์ ยังได้สร้างล่ะ แล้วไง ต่อ
ถ้ากลัววัฒนธรรมค้าขาย ในเมืองหายไป
ก็ลงสนามแข่งหน่อยดิ นอกจากส่งเสียงไม่เห็นด้วย...แล้วอย่าเงียบหายไป

ขอเสนอ ป้ายใหม่

"คนปากน้ำโพ..ใช้ตลาดปากน้ำโพ"

เรียกร้องให้ตลาดเทศบาล ตลาดบ่อนไก่ พัฒนาได้มั้ย พัฒนาพ่อค้าแม่ค้าในตลาดได้ หรือเปล่า

เบื้องต้น
นกสนใจแนวคิด และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ของตลาดยิ่งเจริญนะ
เมื่อหนีไม่พ้นการแข่งขันก็
ใช้จุดเด่นของวิถี วัฒนธรรมของคนไทย ปฏิสัมพันธ์ ของพ่อค้าแม่ค้า การเดินตลาดสดของคนไทย สร้างสู้ห้างสรรพสินค้า ตปท.
อย่ามัวแต่มองว่าเขาได้เปรียบอะไรเรา แล้วลืมเรียกร้องการพัฒนาตัวเอง ของพวกเรากันเอง ก็อาจจะเป็นการตีอกชกหัวตัวเองต่อไป เวลามีคู่แข่งมาเหยียบถิ่นเราอีก

http://www.talad-yingcharoen.com/about.php?a_main_id=2&a_sub_id=

ฝันไปมั้ยเนี้ยะ
แต่เขาใช้เวลาเหมือนกันนะ

นกพยายามหาที่เขาให้สัมภาษณ์แนวคิด ยังหาไม่เจอ
อันนี้เบื้องต้นมีแนวคิดแบบนี้

ขออนุญาต
บ่น...บ้างเพราะถามตัวเองเหมือนกัน ว่าเราเงียบ ...เพราะไม่เห็นด้วย..หรือเพราะอะไร..
ก็ไม่ถึงกับไม่เห็นด้วย แต่รู้สึกไม่ใช่ หรืออาจจะไม่พอ

แต่ที่แน่ๆ จะกลับไปเดินตลาดสด บ้างแล้วอ่ะ

นกฝึกบิน

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

ตั้งให้เร็ว ถ้าตกเพราะเห็น

เฝ้าดู เฝ้าดู
เห็นแล้ว เห็นแล้ว

ตกแล้ว ตกอีก แล้วก็ตกอีก
ตั้งไปกี่รอบแล้วหว่า
ตก 100 ครั้ง ตั้งใหม่ 100 หน
นึกในใจ ตกได้ตกไป

พระอาจารย์ไพบูลย์ ว่ามันเปลี่ยนอารมณ์

ตอนแรกนึกเถียง
ตกแล้วตั้งใหม่
แล้วทำไมมันตกอยู่นั่นล่ะ
เรื่องราวเดิมๆ สถานการณ์เดิมๆ มันมาถึง ก็ตกกันอยู่ร่ำไป
ตกแล้ว ตั้งใหม่ มาอีกแล้วก็ตกอีก ตั้งใหม่แล้วไงล่ะ

มีเพื่อนถามว่า งั้นเหมือนตั้งจนกว่าเราจะทำใจได้ใช่มั้ย
เคยบอกเพื่อนไปว่า คงงั้นมั้ง
น่าจะต้องตอบตัวเองว่าเวลาเจออีกที มันตกมั้ย
delay ของการตก มันน้อยลงมั้ย
ตั้งจน delay มันน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง มันไม่ตก มั้ง
แต่ถ้า เจอกี่ที กี่ที ก็ตก ตกแรงพอๆ กันแถมบางทีก็แรงขึ้นไปอีก
นี่ท่าทางจะต้องตั้งเป็นคำถามกับตนเองว่าตั้งใหม่จริงหรือ

แต่แอบเถียงต่อในใจ
เอ แล้วมันต่างกับ positive thinking ไงหว่า
ถ้าเห็นแล้ว เห็นเหตุชัดแล้ว ว่าตกเพราะอะไร
แล้วไม่แก้ไขที่เหตุ พร่ำแต่ตั้งใหม่ ๆ
positive thinking positive thinking
ผ่านไป ผ่านไป
ตั้งแล้วตกอีก ท่าจะเป็นพันเป็นหมื่นหนกระมัง

ปัญญาน้อย ปัญญาน้อย
ตั้งใหม่เป็นเพียงการหลุดออกจากอารมณ์ที่ตก
หันไปจับอารมณ์ใหม่ คือ กายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ปัญญา ยังไม่ทันเกิดเลย
ดันหันไปจับกับอารมณ์ใหม่ คือ สิ่งที่เห็น
เห็นฉันเซ็ง..ทำไมฉันเซ็งได้ขนาดนี้
เห็นฉันเศร้า..ทำไมฉันเศร้าได้ขนาดนี้
เห็นฉันทุกข์..ทำไมฉันทุกข์ได้ขนาดนี้
เห็นฉันวุ่นวาย..ทำไมฉันเป็นได้ขนาดนี้
ไม่ชอบ ไม่ชอบ ไม่ชอบ

เห็นแล้ว...เหตุของตกแล้วตกอีก
สติมาปัญญาเกิด ตรงนี้เอง

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

เห็นมั้ยว่าตกแล้ว...ไม่เห็น..จะตั้งใหม่...ได้อย่างไร

"แป๊ะ" เสียงมือตบกัน
..
ทันมั๊ย
..
มือทั้ง 2 กระทบกันพอดีเกิดเสียง
หูได้ยินเสียง
ตาเห็นการกระทบ
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ ใจ ของเราอีก
...
อธิบายได้เป็นเรื่องเป็นราว
เข้าใจการเกิดได้ชัดเจน
...
แล้วในวิถีชีวิตจริงล่ะ
...
เคยถามใจตัวเองมั้ย
ทำไมเราต้องแสดงพฤติกรรมแบบนี้
เกิดอะไรขึ้นกับใจของเรากันแน่
เจตนาที่เราพร่ำบอกว่า ณ ขณะนั้นว่า ฉันทำเพราะอะไร
ทำไม
ในเวลาต่อมา เราพบว่ายังมีเจตนาอื่นที่ทำให้เราแสดงออกแบบนั้น
และในเวลาต่อมา เราก็พบเจตนาอื่นอีก
...
นั่นคืออดีตที่อยู่ใกล้กับปัจจุบันขณะ..ใช่มั้ย
นั่นคือการเฝ้าดูและเห็นสิ่งที่เกิดกับใจของเรา..ใช่มั้ย
แล้วลองตั้งใหม่ทุกครั้งที่เราเห็นสิ่งที่เกิด
แล้วเราจะเห็นว่าเราเพียงเป็นผู้ดูอดีตที่เข้าใกล้กับ ปัจจุบันขณะทุกที
...
อย่าเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
อย่าเชื่อสิ่งที่ได้เห็น
อย่าเพิ่งมั่นใจสิ่งที่ได้ยิน
อย่าเพิ่งมั่นใจสิ่งที่ได้เห็น
ไม่ต้องทุกข์ระทมกับสิ่งที่ได้ยิน
ไม่ต้องทุกข์ระทมกับสิ่งที่ได้เห็น

ขอให้ตั้งใหม่...ทุกครั้ง
จิตของเราฉลาดและซับซ้อนกว่าที่คิด

ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอะไร ก็ตาม

ขอให้ชื่นชม..ตนเองที่เห็น
ขอให้ขอโทษ..ตนเองกับสิ่งที่ทำ ทั้งอัตตา และความไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง

ตั้งใหม่..เร็วและบ่อยเท่าไร
เราก็เข้าใกล้ปัจจุบันขณะมากเท่านั้น
แล้วเราก็พบว่า...ความสุขเกิดจากการได้มีโอกาสตั้งใหม่อีกครั้ง


(เขียนจากประสบการณ์ ตั้งแล้วตก ตั้งแล้วตก ใช้เวลา เกือบ 15 ชั่วโมงกว่าจะพบความสุขสักครั้งจากการตั้งใหม่....มันยากส์สสสสสสส..ขอบอก)

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

ปรากฏการณ์ชาวบ้านบางระจัน

คืนวันพุธเราคุยกันถึง ปรากฏการณ์ที่ชาวบ้าน หรือชุมชนป้องกันตนเอง ที่เราเปรียบปรากฏการณ์นี้เทียบเท่า การดูแลพื้นที่ของชาวบ้านบางระจัน มีการพูดคุยกันในมุมของการดูแลตัวเองเพราะภัยมาถึงตัว การตระหนักถึงภัยที่จะเกิดกับตัว จึงเกิดการป้องกัน หรือสู้เพื่อปกป้องตัวเอง มากกว่าการคิดถึงระดับชาติ แล้วอย่างไรเล่า จะเพราะเหตุผลอะไร แต่เราก็ได้รับอานิสงส์ หรือผลจากการรักหรือป้องกันตัวเองของชุมชนเล็กๆ เล่านี้ หากเราไม่ได้เรียนรู้กับเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์นี้เสียเลยคงน่าเสียดายแย่

การพูดคุยถึงเหตุการณ์นี้ คืนนั้นนึกถึงคำว่า จุลจักรวาล หรือ Holon ทีเดียว การเกิดปรากฏการณ์เล็กๆ จุดหนึ่งมีผลต่อระบบใหญ่แน่นอน หากคนในชุมชนหนีไปหาที่ๆปลอดภัย ปล่อยให้เกิดอะไรก็ได้กับพื้นที่ของตัวเอง นึกภาพไม่ออกว่าจะเกิดอะไรกับประเทศชาติมากกว่านี้

อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การตระหนักถึงภัยที่ถึงตัว เป็นแรงบันดาลใจ แรงจูงใจมากที่เดียว ที่จะทำให้คนรุกขึ้นมากล้า ละทิ้งความกลัวอย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญไม่มัวรอ ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น...
อันนี้น่าสนใจ สำหรับวิถีการดำรงชีวิตในปัจจุบันที่เราจะพบคำพูดที่ได้ยินติดหู หรือติดปาก คือรอให้ผู้มีอำนาจ มีหน้าที่มาจัดการแก้ปัญหา หรือมีท่าทีเพิกเฉยต่อปัญหา เพราะคิดว่าไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่มีอำนาจ หรือไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบที่ต้องทำ

แล้วอะไรเล่าทีทำให้คนในชุมชนกล้าหาญได้เพียงนี้ อันนี้น่าสนใจ ในการทำงานในการปลุกแรงจูงใจ หรือสร้างแรงบันดาลใจ ทั้งในระดับปัจเจกและสมุหะ และน่าจะเป็นแก่นของการศึกษาเพื่อเรียนรู้การอยู่ร่วมกันตั้งแต่ระดับการดูแลตนเอง จนถึงระดับองค์กรเลยทีเดียว

บังเอิญจริงๆ ได้ดูการพูดถึงปรากฎการณ์นี้พอดี
อจ.ชัยวัฒน์พูดถึงเรื่องนี้ว่า ชาติคือชุมชนแห่งจินตนาการ หรือชุมชนขนาดใหญ่( Mega Community) เปรียบเป็นร่างกายของเรา ซึ่งประกอบไปด้วย เซลล์ขนาดเล็ก นั่นคือชุมชนเล็กๆ มากมาย คนในชุมชนที่รุกขึ้นมาปกป้องเพื่อความปลอดภัย คือ ความรู้สึกของการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ การปกป้องของที่ตัวเองลงทุน หรือเป็นเจ้าของ จึงเกิดเป็นชุมชนเข้มแข็งขึ้นมา แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าหาก เซลล์เล็กๆ เหล่านี้เกิดไม่สามัคคีกัน ทั้งในตัวเซลล์เอง หรือระหว่างเซลล์ หรือบางชุมชนเข้มแข็ง บางชุมชนอ่อนแอ แล้วร่างกายเราจะทำงาน(function)ได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะฟื้นความเข้มแข็งให้เซลล์ และความเข้มแข็งของแต่ละเซลล์ ยังมีการเชื่อมโยงกันอย่างมีสายใยคือความสัมพันธ์ของมนุษย์ยังคงมีอยู่ อันเป็นผลต่อความอยู่รอดทั้งหมดของชุมชนขนาดใหญ่คือร่างกายหรือชาติของเรา

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000043035

นกฝึกบิน

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

1 < 10 < 30

11 < 10 < 30 ความหมายของตัวเลขที่พูดถึงการเริ่มต้นของจำนวนผู้นำหากมีเพียง 1% ที่เริ่มต้นทำ เราจะมีคนตามมาอีก 10% และจะตามมาอีก 30% เป็นตัวเลขของการทำงานแบบเครือข่าย ที่ทำให้มีความหวัง ไม่ต้องนับถึง 100% โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงความเร็วที่จะเป็นไปได้ แล้วอะไรล่ะ ที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดผลเร็ว อย่างคำถามที่ถูกตั้งขึ้นมาว่า "เราจะทำอะไรกันทันหรือ กับสังคมที่แย่ลงทุกวัน" ยิ่งดู clip นี้ก็ยิ่งมีความหวัง และให้คิดว่า หากเครือข่ายทำงานอย่างมีความสุข และเต้นรำไปด้วยกัน ความเร็วอาจจะเร็วกว่าที่คาดคิดไว้ http://www.youtube.com/watch?v=Vq6b9bMBXpg

นกฝึกบิน

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552

ถือบวชที่ใจ

ครั้งแรก กับการเดินเข้าร่วมวง ไดอะล็อค กับนักธุรกิจ
คน 10 คน ที่มานั่งล้อมวงกัน ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจและมาจากหลายจังหวัด
อาจมีพี่สันติ ที่เป็นทนายความ มาจากสภาทนายความ
แต่ทุกคน มาในฐานะที่มีส่วนร่วมในสังคม
และมีเจตนา มาร่วมกันเพื่อสืบค้นว่าเราจะทำอะไรดีๆ ให้กับสังคม

ฉันเป็นคนที่ก้าวจาก พนักงาน ลูกจ้าง เพื่อมาเป็นนายของงานด้วยตนเอง
ฉันกำลังก้าวเดินบนทาง หรือเป็นต้นๆ ของทางเดินเส้นนี้
ความหวาดหวั่นในใจ ยังมีเสมอ ว่าฉันจะยืนอยู่บนโลกธุรกิจได้เหมาะสมอย่างไร
ฉันเคยมีคำถามด้วยความไม่มั่นคงในอารมณ์ว่า โลกธุรกิจ ช่างเป็นโลกแห่งการแก่งแย่ง แข็งขัน และเอาเปรียบ
ช่างแตกต่างจาก โลกของผู้คนทางจิตวิญญาน เหลือเกิน ฉันจะอยู่ได้หรือ

ระยะหลังที่ฉันเริ่มสัมผัสกับผู้คนในกลุ่ม YCL
ฉันสัมผัสถึงโลกภายในของเจ้าของที่สัมพันธ์ต่อโลก ผ่านกิจกรรม และการดำเนินธุรกิจของพวกเขา
ฉันเริ่ม สัมผัสได้ถึงอะไรคือการแบ่งส่วนโลกธุรกิจ โลกของคนเงินเดือน โลกของนักประชาสังคม
แว่นที่ฉันสวมใส่นั่นเอง แยกส่วน แยกโลก เกิดจากฉันนั่นเอง
กิจกรรมต่างๆ เป็นเพียงบริบท เป็นเพียงวาระ และหน้าที่ ที่เขาอาจจะถูกลิขิตมาส่วนหนึ่งหรือเปล่า
โลกภายในของเขาที่สัมพันธ์กับโลกต่างหาก ที่ฉันควรมองให้ถึงผู้คนเหล่านั้นที่แท้จริง

ครั้งนี้เริ่มต้นประเด็นการเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือคือ ไดอะล็อค
ด้วยคำถาม What is the Dialogue? และประโยชน์ของไดอะล็อค ในวงสนทนา

การสืบค้น What the initiative of Thai society?
การสนทนาที่มีวาระ เช่นนี้
และความคุ้นชิน ของผู้คนที่มีภาวะผู้นำแบบเจ้าของธุรกิจ ที่ต้องการความชัดเจน และมีความเก่งของปัจเจกเป็นปัจจัยหลักอยู่แล้ว
การเริ่มต้นของการสนทนา ฉันลังเลที่จะเป็น Fa (Facillitator) ของกลุ่ม มีเสียงหนึ่งของฉันบอกว่า ฟังเสียง สัมผัสคลื่นของผู้คน เป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่า

และแล้วในวันแรก dialogue จึงเป็นเครื่องมือที่จะเลือกใช้ เมื่อสถานการณ์ของการสนทนาในกลุ่มดำเนินไปจนถึงสภาวะที่เรียกว่า discuss หรือถึงจุด debate กันเลยทีเดียว
พร้อมๆ กับ การแข็งตัวของกล้ามเนื้อไหล่ ลำคอ และการมึนหัวของฉัน และอาการนี้ไม่ได้เกิดกับฉันคนเดียว

ค่ำคืนนั้น ฉันนอนภาวนา หรือ Inner Yoga เพื่อปลดปล่อยพลังตึงเครียด ซึ่งเกิดจากการพยายามควบคุมหรือจัดการ และไม่ผ่อนคลายนั่นเอง

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันรู้สึกกระตือรือร้น เพื่อสะท้อนการรับรู้และสัมผัสพลังความตึงเครียดอย่างรุนแรงได้ในตัวเอง พลังนั้นสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน เป็นพลังที่ไม่ได้สัมผัสมานานพอสมควร พลังตึงเครียดนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการสนทนาของฉันในกลุ่มแน่นอน การสนทนาของฉันก็เป็นลักษณะของการยืนยันความคิด ความเชื่อของตัวเอง และใช้พลังมากกว่าปกติเพราะเมื่อการสนทนาเป็นลักษณะ disscuss ฉันเองก็พลั้งเผลอ พยายามยืนยัน และแสดงฐานคิดของตัวเองเช่นกันไม่ต่างกันกับคนอื่น รวมถึงการพยายามที่จะจัดการตัวเองในการตอบโต้การ discuss กับผู้ร่วมสนทนา ณ ขณะนั้น เมื่อผู้ร่วมวงพูดโต้แย้งแบบไม่เห็นด้วยกับความคิดของฉันในเกือบทันทีทันใด การพูดคุยจึงไม่ผ่อนคลายและใช้พลังมาก ตลอดเส้นทางการสนทนาอันยาวนานของวันแรก ฉันโทรคุยกับอจ.วิศิษฐ์ ครูว่าได้บอกกล่าวความรู้สึกของตัวเองให้กลุ่มหรือไม่ บอกกล่าวว่าเรารู้สึกอย่างไร ที่เราแสดงเป็นเพียงความคิดเห็นของเรา ทุกคนจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้ และให้ฉันไปศึกษา มนุษย์ที่แท้ของจางจื้อ เรื่อง ถือบวชที่ใจ

วันที่สอง ของการพูดคุย เราพูดคุยกันอย่างเบาสบาย เราทุกคนในกลุ่มเห็นตรงกัน กับความเบาสบายของแต่ละคน

วันที่สาม ฉันเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ของผู้คนในวง จากคนที่พูดคุยให้ได้คำตอบ การสรุป อย่างชัดเจน เริ่มก้าวข้ามบางอย่างจากความเคยชิน
ของคนเก่ง การพูดคุยเพื่อการสรุป กลายเป็นการพูดคุย เพื่อการพูดคุย เพื่อการแบ่งปันความคิดเห็น และฟังกัน ฉันรู้สึกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น
แล้วในวงไดอะล็อควงนี้ มหัศจรรย์อย่างไรหรือ

ฉันถาม ไม่มหัศจรรย์หรือ ที่คนเก่ง คนที่ต้องการข้อสรุป เพื่อตอบโจทย์ที่สวยงามให้ผู้คน กลับ กล้า ฉันใช้คำว่า กล้า กล้าที่จะยืนพูดเนื้อหาเดิมๆ
เกริ่นนำเรื่องราวเดิมๆ ที่พูดไปแล้ว และเชิญชวนให้เพื่อนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ที่ทำจริงเป็นตัวอย่างสำหรับผู้อื่น สำหรับฉันนี่คือสิ่งมหัศจรรย์
การก้าวเดินสู่พื้นที่ ที่ไม่น่าจะคุ้นชินสำหรับเขา .... ไดอะล็อค การเปิดใจ อย่างแท้จริง ประสบการณ์คือ ปัญญา ที่เราได้จากการพูดคุยกันและฟังกันอย่างแท้จริง เป็นการสรุปที่งดงามสำหรับฉัน...

กลับบ้านมา ฉันเพิ่งได้อ่านบทความ ถือบวชที่ใจ อย่างเบาสบาย เบาสบายตั้งแต่การอยู่ร่วมกับผู้คนที่ฉันเคยคิดว่ามีความแตกต่างจากฉัน

ฉันรู้สึกถึงการเติบโต ของจิตวิญญาน หรือการวิวัฒนาการของจิตที่ใหญ่ขึ้น ที่ปฏิบัติผ่านคำสอนของครู ถือบวชที่ใจ คือการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
และการเติบโตของตัวเอง มากกว่าการพยายามจะไปเปลี่ยนแปลงคนอื่น